ตาลโตนด 1 ลูกนั้น หากเป็นลูกอ่อนนอกจากกินลอนตาลหวานอร่อยสดๆได้แล้ว ส่วนของหัวลูกตาล ก็ยังมาทำอาหารได้อืก เป็นอาหารโบราณ โดยทั่วไปไม่ค่อยมีขาย ส่วนใหญ่แล้วต้องแกงกันเองที่ขึ้นชื่อคือแกงปลาร้าหัวตาล บางคนเรียกต้มปลาร้าหัวตาล ในแกงจะใส่ปลาร้าด้วย ชอบมากแต่นานๆจะได้ชิมสักครั้ง หัวตาลอ่อนนำมาต้มให้สุกจิ้มน้ำพริกก็ได้ มีรสขม โดยมากจะต้มน้ำทิ้งหลายๆน้ำเพื่อลดความขมลง จะต้มทั้งอันใหญ่โดยการตัดส่วนหัวออกมาเลย หรือเฉาะนำลอนตาลอ่อนออกก่อน แล้วถึงตัดออกมา หรือจะปาดจากลูกอ่อนๆเลยก็ได้ หัวตาลที่นำมาขายจะร้อยเป็นพวงขายไม่แพง
แกงหัวตาล ไม่เคยทำมาก่อน ได้หัดทำเป็นครั้งแรก แบบไม่ใส่ปลาร้าพอดีน้องชายไม่กินปลาร้า เครื่องปรุงไม่ได้ใส่ปลาย่าง ผู้ที่สอนบอกไม่ต้องใส่ก็ได้ นำมาฝากอร่อยใช่ได้ค่ะ
วิธีทำ
1. น้ำใส่ภาชนะใส่เกลือและมะขามเปียก
2. หัวตาลอ่อนฝานบางๆ ใช่แต่ส่วนที่อ่อนนิ่มลงในภาชนะที่ใส่น้ำ เกลือ มะขามเปียก เพื่อไม่ให้คล้ำดำ
3. หม้อใส่น้ำพอน้ำให้เดือดนำหัวตาลอ่อนที่ฝานแช่น้ำไว้นำขึ้นจากน้ำต้มเปลี่ยนน้ำ 2-3 ครั้งเพื่อลดความขมลง
4. ตำเครื่องปรุง มี หัวหอมแดง ตะไคร้ กระชาย ล้างซอยหั่น พอประมาณกับหัวตาล
แล้วตำรวมกันให้ละเอียด ใส่เกลือเล็กน้อย ( ถ้ามีปลาย่างแกะเนื้อตำลงไปด้วยก็ได้ น้ำแกงจะเข็มข้นขึ้น)
5. เนื้อหมุล้างให้สะอาดหั่นชิ้นบางเล็กๆ หรือต้มปลาย่างแกะก้างออก
6. ขูดมะพร้าว คั้นกะทิ หรือซื้อมาตามสะดวก
7. หม้อหรือกระทะตั้งไฟหัวกะทิใส่พอประมาณ ใส่เครื่องปรุงที่ตำ เคี่ยวให้หอม
ถ้าแห้งลงก็เพิ่มกะทิที่ละน้อยเคี่ยวจนหอม
8 เมื่อเคี่ยวเครื่องปรุงหอมดีแล้วใส่เนื้อหมูหรือเนื้อปลาย่าง เคี่ยวกับเครื่องปรุงให้สุกนิ่มหอม
เติมน้ำปลา(ถ้าใส่ปลาร้าก็ใส่เคี่ยวไปด้วยกัน ) น้ำตาลปีบ
9 .ใส่หัวตาล หากน้ำน้อยไปก็ใส่กะทิเพิ่ม ต้มเดือดสักพัก ขิมรสให้อร่อย
10. ใบมะกรูดฉีกเป็นชิ้นเล็กๆนำเส้นกลางออก ใบมะกรูดสำคัญมากต่อแกงหัวตาลขาดไม่ได้
ขั้นตอนการต้มการพักตอนแรกๆขาวดีค่ะยังไม่ค่อยเป็น ทำไปทำมาสีเลยออกแดงๆ
ถ้ามีปลาย่างตำใส่ไปด้วยนะคะ
ขุดมะพร้าวคั้นกะทิ
แกงหัวตาล พอจะทำได้ไหมค่ะ น้ำแกงจะหอมกระชายและใบมะกรูด ไม่มีรสเผ็ด
พบลูกตาลอ่อนกินเนื้อจากเมล็ดแล้วหัวตาลนำมาทำอาหารได้อร่อยค่ะ ต้มจิ้มน้ำพริกกะปิกับปลาทูอร่อยมากหากต้มชิ้นหนาๆจะคล้ายเนื้อไก่เลยนะคะ ส่วนที่บางคนไม่ทราบเลยว่ากินได้แต่ทำเป็นอาหารที่หาได้ยากทีเดียวในบางพื้นที่ไม่มี ลองนำมาแกงบ้างนะคะ
ที่มา https://www.gotoknow.org/posts/539521