เป็นที่รู้กันดีว่า ณ ปัจจุบันยาลดความอ้วนนั้นไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับที่จะให้รับประทาน ยาลดความอ้วน อย่างพร่ำเพื่อ เนื่อจาก ยาลดความอ้วน นั้นมีผลต่อร่างกายโดยตรง
ยาลดความอ้วน จะเป็นยาที่ฤทธิ์ต่อระบบประสาทคือจะกระตุ้นระบบส่วนกลางของระบบประสาทและไปลดความถี่ของความรู้สึกหิวเท่านั้น ซึ่ง ยาลดความอ้วน นี้เป็นตัวยาควบคุมซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น และร้านที่จะขาย ยาลดความอ้วน นี้ได้จะต้องได้รับใบอนุญาตเท่านั้น ฉะนั้นหากใครจะซื้อยาลดความอ้วนมารับประทานควรจะตัวเช็คให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงหรือว่าควรจะปรึกษากับแพทย์จะเป็นการดีที่สุดค่ะ นั้นเรามาทำความรู้จักกับยาลดความอ้วนให้มากขึ้นกว่านี้กันดีกว่าค่ะ
เรื่อง ยาลดความอ้วน
การใช้ยาลดน้ำหนักทุกชนิดจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ในช่วงที่กินยา แต่น้ำหนักจะสูงกลับขึ้นเท่าเดิมเมื่อหยุดยาด้วยอาการที่เรียกว่า yo-yo effect คือผู้ใช้ยาจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะร่างกายปรับสภาพให้เผาผลาญพลังงานน้อยไป
ยาลดความอ้วนส่วนใหญ่จัดเป็นอนุพันธ์ของแอมเฟตามีน (amphetamine) ที่เป็นยาประเภทเดียวกับยาบ้า แต่พัฒนายาให้มีผลข้างเคียงต่อระบบประสาทน้อยกว่า
ยาลดความอ้วนส่วนใหญ่จัดเป็นอนุพันธ์ของแอมเฟตามีน (amphetamine) ที่เป็นยาประเภทเดียวกับยาบ้า แต่พัฒนายาให้มีผลข้างเคียงต่อระบบประสาทน้อยกว่า
- ข้อควรระวัง ยาลดความอ้วน
ข้อควรระวังของยาที่เตือนโดยบริษัทยาผู้ผลิตว่า อาจเกิดผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือนอนไม่หลับ เวียนศีรษะ วิตกกังวล ปวดศีรษะ สั่น ตาพร่า หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดการติดยาและห้ามใช้ยาลดความอ้วนในผู้ป่วยที่มีประวัติเคยใช้ยาในทางที่ผิดหรือมีภาวะซึมเศร้า
แต่การใช้ยาลดความอ้วนช่วยในการลดน้ำหนักได้บ้างหากปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยออกกำลังกายลดอาหารอย่างเหมาะสมควบคู่กันไป ส่วนคนที่ใช้ยาลดความอ้วนแต่ไม่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้องยังกินอาหารเหมือนเดิมไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อเผาผลาญพลังงานยาก็ใช้ไม่ได้ผล ทำให้หลายคนใช้วิธีเพิ่มปริมาณยามากขึ้นเพราะหวังว่าจะสามารถควบคุมน้ำหนักได้ซึ่งเมื่อใช้ยาเกินปริมาณก็จะทำให้เกิดอันตรายจากผลข้างเคียงของยา ประชาชนที่ซื้อยาลดความอ้วนรับประทานเอง จึงเป็นอันตรายมาก
ส่วนใหญ่คนที่ใช้ยาลดความอ้วน เมื่อวัดปริมาณค่าดัชนีมวลกายมักพบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ความต้องการลดความอ้วนมักมาจากเกิดจากกระแสเลียนแบบดาราหรือต้องการทำตามเพื่อน
แต่การใช้ยาลดความอ้วนช่วยในการลดน้ำหนักได้บ้างหากปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยออกกำลังกายลดอาหารอย่างเหมาะสมควบคู่กันไป ส่วนคนที่ใช้ยาลดความอ้วนแต่ไม่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้องยังกินอาหารเหมือนเดิมไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อเผาผลาญพลังงานยาก็ใช้ไม่ได้ผล ทำให้หลายคนใช้วิธีเพิ่มปริมาณยามากขึ้นเพราะหวังว่าจะสามารถควบคุมน้ำหนักได้ซึ่งเมื่อใช้ยาเกินปริมาณก็จะทำให้เกิดอันตรายจากผลข้างเคียงของยา ประชาชนที่ซื้อยาลดความอ้วนรับประทานเอง จึงเป็นอันตรายมาก
ส่วนใหญ่คนที่ใช้ยาลดความอ้วน เมื่อวัดปริมาณค่าดัชนีมวลกายมักพบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ความต้องการลดความอ้วนมักมาจากเกิดจากกระแสเลียนแบบดาราหรือต้องการทำตามเพื่อน
- การหาดัชนีมวลกาย
การหาดัชนีมวลกายทำได้ง่าย ๆ คือนำน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตรยกกำลังสองแล้วนำมาวัดค่ามาตรฐานสากล หากต่ำกว่า 20 หมายความว่าน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐาน 20.0-24.9 หมายถึง น้ำหนักปกติสำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 18.5-24.9 ค่า 25.0-29.9 หมายถึงน้ำหนักเกิน ค่า 30.0-39.9 หมายถึงโรคอ้วนมากกว่า 40 หมายความว่าโรคอ้วนรุนแรงการคำนวณวิธีนี้ ไม่ใช้กับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต สตรีมีครรภ์และนักกีฬา
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
ลำดับแรกคงต้องเริ่มจากความมุ่งมั่นจากนั้นรับประทานอาหารให้น้อยลงวันละ 500 กิโลแคลอรี่ น้ำหนักตัวจะลดลงได้ประมาณ 0.45 กิโลต่อสัปดาห์ ถ้าปฏิบัติได้จริงในช่วง 10 เดือน จะลดได้ 18 ก.ก.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอกจากมีผลต่อน้ำหนักตัวที่ลดลงแล้ว ยังทำให้ร่างกายแข็งแรง ความเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ ลดลง แนะนำให้ออกกำลังกายครั้งละ 20-30 นาที 5-7 วันต่อสัปดาห์
- พฤติกรรมการรับประทาน
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น รับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้ช้าลง เคี้ยวอาหารให้นานขึ้นก่อนกลืนอาหาร จะทำให้รู้สึกอิ่ม จะบริโภคได้น้อยลง เป็นต้น ที่สำคัญต้องไม่ซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจอันตรายถึงชีวิต