เชื่อไหมค่ะว่า "ลิ้นจี่" ช่วยให้คุณห่างจากมะเร็งเต้านมได้ แต่คุณสามบัติของลิ้นจี่ยังไม่หมดเท่านั้น ลิ้นจี่ ยังสามารถป้องกันโรคเหน็บชา และป้องกันไขมันอุดตันในเลือดได้ด้วย
ลิ้นจี่ เป็นผลไม้เขตร้อนที่มีถิ้นกำเนิดจากประเทศจีนตอนใต้ ซึ่งชาวจีนเรียกว่า " ลี่จือ" มีความหมายว่า "ของขวัญเพื่อชีวิตที่เบิกบาน" แต่ในปัจจุบันมีความหมายว่า "ผลไม้แห่งห้วงรัก" ลิ้นสำหรับชาวจีนแล้ว นอกจากเป็ฯผลไม้ที่ช่วยในเรื่องต่างๆ ลิ้นจี่ยังมีสรรคุณทางการแพทย์ที่ช่วยให้คุณสาวๆ ห่างจากการเป็นมะเร็งเต้านมอีกด้วย |
สำหรับคุณค่าทางอาหารของลิ้นจี่นั้น ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอมหวานชวนกิน คนไทยมักนิยมทานผลสด หรือมักจะนำลิ้นจี่มาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่มแก้กระหายน้ำ รสชาติหอมหวานชื่นฉ่ำใจ ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และน้ำตาล มีน้ำมันหอมระเหย และมีกรดอินทรีย์บางชนิด วิตามิน บี 1 ในลิ้นจี่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือด แคลเซียมเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง อีกทั้งยังมีไนอะซีน ช่วยเปลี่ยนน้ำตาล และไขมันให้เป็นพลังงานช่วยระบบย่อยอาหาร ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่เหมาะสมกับการรักษารูปร่าง ลิ้นจี่ 1 ถ้วย (6 ผล ไม่แกะเมล็ดออก) ให้พลังงานเพียง 125 แคลอรี มีไขมันน้อยกว่า 1 กรัม ลิ้นจี่มีวิตามินบี 2 โพแทสเซียม และมีวิตามินซีสูงมาก กินลิ้นจี่เพียงวันละ 3ผลก็ได้วิตามินซีครบถ้วนตามความต้องการใน 1 วัน เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยบำรุงหลอดเลือด กระดูกและฟัน ในฤดูลิ้นจี่จึงควรกินลิ้นจี่แทนวิตามินซี สังเคราะห์สักระยะหนึ่ง ผลของลิ้นจี่ กินเป็นยาบำรุง แก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการคัดจมูก รักษาอาการท้องเดิน ลดกรดในกระเพาะอาหาร และบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร สำหรับในประเทศจีนใช้ทำเป็นชาไว้ชงดื่ม โดยใช้เปลือกของลิ้นจี่ เพื่อบรรเทาอาการหวัด แก้การติดเชื้อในลำคอ อาการท้องเสียอย่างอ่อน และโรคจากการติดเชื้อไวรัส เมล็ดมีฤทธิ์แก้ปวดบวม โดยใช้บดเป็นผงชงน้ำดื่ม หรือใช้พอกบริเวณมีอาการปวดบวม และสำหรับต้นของรากลิ้นจี่หรือเปลือกต้น ใช้แก้อาการติดเชื้อ ไวรัส อีสุกอีใส และเพิ่มความสามารถระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลิ้นจี่มีปริมาณเส้นใยอาหารสูง มีปริมาณพลังงาน ต่ำ และเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติช่วยเผาผลาญสารอาหารในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ลิ้นจี่ต้านมะเร็งเต้านม จากผลการวิจัยประเทศจีน พบว่าส่วนเพอริคาร์พ (เปลือกและเนื้อผล) ของลิ้นจี่มีสารกลุ่มฟลาโวนอลที่สำคัญ คือ โพรไซยาไนดินบี 4 ไพรไซยา- ไนดินบี 2 และอีพิคาเทชิน ส่วนแอนโทไซยานินที่สำคัญ คือ ไซยาไนดิน3- รูตินโนไซด์ ไซยาไนดิน-3กลูโคไซด์ เควอเซทิน-3- รูติโนไซด์ และเควอเซทิน-3-กลูโคไซด์ สารเหล่านี้แสดงฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นที่ดี โดยในกลุ่มฟลาโวนอลพบว่าโพรไซยาไนดินบี 2 กำจัดไฮดรอกซี่เรดิคัลและซูปเปอร์-ออกไซด์แอนอิออนได้ดีที่สุด ส่วนโพรไซยาไนดินบี 4 โปรไซยาไนดินบี 2 และอีพิคาเทชินมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งชนิดอื่นๆ อีก และมีพิษต่อเซลล์ปกติน้อยกว่ายาพาซิทาเซลที่ใช้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ มีรายงานว่าสารสกัดเพอริคาร์พของลิ้นจี่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านม ทั้งในห้องทดลองและในสัตว์ทดลอง โดยยับยั้งการขยายจำนวนเซลล์ การควบคุมการสื่อสารระหว่างเซลล์มะเร็ง การสร้าง mRNA และเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็งดังกล่าว และยับยั้งผลต่อเนื่องในการแทรกตัว การยึดเกาะพื้นผิวของเซลล์มะเร็ง ซึ่งพบว่าขนาดของก้อนมะเร็งเต้านมในหนูทดลองลดลงร้อยละ 41 เมื่อได้รับสารสกัดเอทานอล เห็นประโยชน์ดีๆ จากผลไม้เล็กๆ อย่างลิ้นจี่แล้ว ก็ไม่ควรพลาด ที่จะหาลิ้นจี่มารับประทาน ซึ่งการบริโภคลิ้นจี่ควรปริโภคให้พอดีกับร่างกายจะดีที่สุดค่ะ |
ที่มา https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2529&sub_id=75&ref_main_id=14