น่าแปลกใจนะครับที่คนอื่นที่เขามีปัญญาเขาพยายามหาทางกำจัดขยะ แต่คนไทยกลับพยายามเสียเงินเพื่อซื้อขยะ (อาหารขยะ)
เหล่านี้เข้าบ้านเสียทั้งเงินทองและสุขภาพอาหาร "รับประทานด่วน" ฝรั่งรับประทานยามเร่งรีบเพื่อประทังชีวิต และเรียกว่า"อาหารขยะ" (Junk Food) แต่ทำไมคนไทยยังนิยมว่าเป็นของโก้เก๋?
เดิมผมเคยภูมิใจที่ได้ยินข่าวอยู่เสมอว่าอาหารไทยนั้นอร่อย และดีต่อสุขภาพจนฝรั่งต่างชาติติดอกติดใจ จนทำให้จำนวนร้านอาหารไทยในต่างแดนเพิ่มขึ้นสร้างฐานะความร่ำรวยให้กับคนไทยที่ไปเปิดร้านอาหารไทยกันที่นั่น แต่ผมกลับรู้สึกหดหู่เมื่อไปเดินตามศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า เพราะเดินไปที่ไหนพบแต่ร้านอาหารฟาสต์ฟูด เช่น ไก่ทอด, มันทอด, แฮมเบอร์เกอร์, พิซซ่า เต็มไปหมดจนแทบจะหาร้านอาหารไทยทานได้ยากเต็มที ทำให้ผมต้องกลับมาคิดว่าปีๆ หนึ่งเราจะต้องเสียเงินออกนอกประเทศเพื่อไปซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์เหล่านี้มากเพียงใด ซึ่งถ้าหากแนวโน้มการขยายตัวของร้านอาหารฟาสต์ฟูด เหล่านี้ยังเป็นเช่นนี้ คิดว่าเราคงต้องเสียเงินออกนอกประเทศให้กับค่าลิขสิทธิ์ของอาหาร
เหล่านี้รวมทั้งลิขสิทธิ์ร้านไอศกรีมและน้ำอัดลมมากกว่ารายได้ที่คนไทยจะได้จากการที่ต่างคนต่างไปเปิดร้านขายอาหารไทยในต่างแดนอย่างแน่นอน
นอกจากความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เงินรั่วไหลออกนอกประเทศแล้ว อาหารฟาสต์ฟูดเหล่านี้ยังก่อให้เกิดความสูญเสียต่อสุขภาพร่างกายของคนไทยอีกด้วย จากการวิจัยพบว่าเด็กไทยใน 8 จังหวัดภาคกลางเป็นโรคอ้วนเกือบร้อยละ 20 และเด็กนักเรียนในโรงเรียนสาธิตและเอกชนหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร เป็นโรคอ้วนถึงร้อยละ 25-26 ซึ่งน่าตกใจมากที่เด็กไทยทุก 4-5 คนจะเป็นโรคอ้วน 1 คน ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและสมรรถภาพในการทำงานอันมีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนไทย และเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว เนื่องจากคนอ้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดแข็งและอุดตันและโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงที่เป็นสาเหตุของการตายอันดับ 1 หรือ 2 ของคนไทย ทำให้เราต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมหาศาลใน
แต่ละปี ซึ่งมาตรการ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลชุดนี้คงรองรับไม่ไหว
ในทางการแพทย์อาหารฟาสต์ฟูดนั้นเป็นอาหารที่มีผลกระทบและเป็นภัยต่อสุขภาพ เนื่องจากมีไขมันสูง เกลือมาก และไฟเบอร์หรือใยอาหารต่ำ คนที่รับประทานมีโอกาสเป็นโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดแข็งและอุดตัน โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็ง นักวิชาการจึงเรียกอาหารฟาสต์ฟูดเหล่านี้ว่าอาหารขยะ (Junk Food) ซึ่งคนฝรั่งเองเขาก็ทราบ เขาจึงรับประทานอาหารฟาสต์ฟูดเฉพาะเมื่อยามเวลาจำเป็น ในเวลาที่เร่งรีบหรือทานเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น จึงเรียกว่าฟาสต์ฟู๊ด (Fast Food) หรือที่คนไทยเรียกให้สุภาพหน่อยว่าด่วนรับประทาน และในต่างประเทศอาหารเหล่านี้จะมีราคาถูกเมื่อเทียบกับอาหารที่มีคุณค่าอื่นๆ แต่คนไทยกลับเห็นผิดเป็นชอบ รับประทานกันด้วยความโก้เก๋ เลี้ยงฉลองกันสนุกสนาน และราคาก็แพงมากเมื่อเทียบกับคุณค่าทางอาหารและกับอาหารไทยโดยทั่วไป ทำให้ดูเหมือนคนรับประทานอาหารฟาสต์ฟูดนั้นมีรสนิยมโก้หรู เวลาทานก็จะพยายามนั่งหน้าเชิดอยู่ริมกระจกให้คนอื่นได้มองเห็นด้วยความอิจฉา
ก็น่าแปลกใจนะครับที่คนอื่นที่เขามีปัญญาเขาพยายามหาทางกำจัดขยะ แต่คนไทยกลับพยายามเสียเงินเพื่อซื้อขยะ (อาหารขยะ) เหล่านี้เข้าบ้านเสียทั้งเงินทองและสุขภาพ
สถาบันสุขภาพและสมาคมแพทย์โรคหัวใจของประเทศอเมริกาได้แนะนำอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับเด็กอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป ตลอดจนผู้ใหญ่ทุกคนให้รับประทานอาหารที่มีพลังงานและสารอาหารเพียงพอไม่มากหรือน้อยเกินไป รับประทานไขมันไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมดที่รับประทานใน 1 วัน รับประทานไขมันอิ่มตัวซึ่งมีมากในไขมันสัตว์และเนื้อสัตว์ให้น้อยกว่าร้อยละ 10 รับประทานโคเลสเตอรอลน้อยกว่า 300 มิลลิกรัม/วัน (ไข่แดง 1 ฟองจะมีโคเลสเตอรอลประมาณ 300 มิลลิกรัม) รับประทานคาร์โบไฮเดรต ซึ่งได้จากอาหารประเภทแป้งหรือข้าวร้อยละ 50-60 โปรตีนซึ่งได้จากอาหารประเภทเนื้อนมไข่ร้อยละ 15-20 และควรรับประทานผัก และผลไม้สดเพื่อให้ได้ใยอาหารเป็นประจำ ซึ่งกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำแนวทางการรับประทานอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการดังนี้
1. กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว
2. กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ
3. กินพืชผักให้มาก และกินผลไม้เป็นประจำ
4. กินปลา เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ
5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย
6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร
7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานและเค็มจัด
8. กินอาหารที่สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน
9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
จะเห็นได้ว่าอาหารที่ดีสำหรับสุขภาพคนเรานั้นก็คืออาหารไทยและอาหารของชาวเอเซียที่มีข้าวหรือแป้งเป็นอาหารหลัก และรับประทานพืชผักผลไม้สดกันเป็นประจำ ไม่เหมือนกับอาหารของฝรั่งหรือชาวตะวันตกที่มีไขมันและโปรตีนมากเกินไปจนก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งฝรั่งหรือชาวตะวันตกเขาทราบดีถึงภัยนี้ เขาจึงเริ่มหันมารับประทานอาหารไทย แต่คนไทยกลับหันไปนิยมรับประทานอาหารตะวันตก จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันและอนาคตคนไทยจะเป็นโรคเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคต่างๆ ที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ
คงถึงเวลาแล้วที่เราคงต้องหันมาช่วยกันคิด ช่วยกันทำให้เกิดค่านิยมอาหารไทย และปลูกฝังความรู้การปฏิบัติในการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง เพื่อสุขภาพดีถ้วนหน้าสำหรับคนไทยทุกคน ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทั้งในด้านการกินและค่ารักษาพยาบาล และเนื่องจากตัวยาทุกชนิดเรายังผลิตเองไม่ได้ ต้องสั่งซื้อเข้ามาจากต่างประเทศ การรับประทานอาหารไทยที่ถูกต้อง นอกจากจะช่วยให้เงินทองไม่รั่วไหลแล้วยังช่วยกู้ภัยเศรษฐกิจให้แก่ตัวเราและประเทศไทยของเราได้อีกทางหนึ่งด้วย
ที่มา https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=711&sub_id=54&ref_main_id=4