ป้องกันภัยจากไข้เลือดออก


997 ผู้ชม


ไข้เลือดออก ช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้มีผู้ได้รับเชื้อจากอาการไข้เลือดออกเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งการรักษาถึงแม้นว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเข้ามาดูแลและรักษา แต่ไข้เลือดออกก็ยังทำลายสุขภาพของคุณและในครอบครัวอยู่ดี         ไข้เลือดออก ช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้มีผู้ได้รับเชื้อจากอาการไข้เลือดออกเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งการรักษาถึงแม้นว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเข้ามาดูแลและรักษา แต่ไข้เลือดออกก็ยังทำลายสุขภาพของคุณและในครอบครัวอยู่ดี 
ป้องกันภัยจากไข้เลือดออก

ป้องกันภัยจากไข้เลือดออก

ไข้เลือกออก สถานการณ์ไข้เลือดออกช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ค่อนข้างรุนแรงมากขึ้น ..

เพราะขณะนี้มียอดผู้ป่วยพุ่งขึ้นนับหมื่นราย อีกทั้งมีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 16 ราย เนื่องจากเมื่อเป็นโรคนี้แล้วรักษาไม่ทัน หรือมองข้ามคิดว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก วันนี้เราจึงต้องมาย้ำเตือนกันอีกครั้ง เพื่อการป้องกันและดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคไข้เลือดออกที่กำลังคุกคามอยู่ในขณะนี้
ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever) เป็นโรคติดต่อจากไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ปัจจุบันมีไวรัสแดงกี่ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ 1,2,3 และ 4 โดยทุกสายพันธุ์มีโอกาสก่อให้เกิดโรคได้ทุกความรุนแรง ดังนั้นการป้องกันอย่างแรกก็คือ การเทภาชนะที่ไม่น้ำขังออกเพื่อป้องกันการแพร่พันธุ์ของยุงลายสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และกำจัดลูกน้ำยุงลายโดยใส่ทรายอะเบต (Abate)ลงในภาชนะใส่น้ำ
อาการของโรคส่วนใหญ่ร้อยละ 90 จะไม่แสดงอาการ ในส่วนที่แสดงออกมา จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ไข้ไวรัส โดยผู้ป่วยมีไข้แค่ 2-3 วัน และมีผื่นตามตัว, ไข้แดงกี่ ผู้ป่วยมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศรีษะ เมื่อยตามตัว และพบจุดเลือดออกจากการทำทดสอบ tourniquet test ถ้าเจาะเลือดมักจะมีเม็ดเลือดขาวต่ำ บางรายอาจมีเกล็ดเลือดต่ำร่วมด้วย, ไข้เลือดออกแดงกี่ ผู้ป่วยมีไข้สูงลอย 2-7 วัน มีการเลือดออกที่ผิวหนัง ตับโตและพบจุดเลือดออกจากการทดสอบ tourniquet test ลักษณะเฉพาะของโรคคือมีการรั่วของพลาสมา หรือน้ำเหลืองออกจากเส้นเลือด ทำให้เกิดมีภาวะช็อกได้ โดยส่วนใหญ่จะมีการรั่วของพลาสมาประมาณ 24-48 ชั่วโมงหลังจากระดับเกล็ดเลือดลดต่ำลง
ทั้งนี้อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นยังแบ่งออกเป็น 3 ระยะได้แก่
ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง39-40 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ตอดต่อกันเป็นเวลา 2-7 วัน มักมีอาการหน้าแดง ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวาตับโตกดเจ็บ บางรายอาจมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายที่ผิวหนัง มักไม่มีอาการหวัดชัดเจน
ระยะวิกฤติ ป็นระยะที่มีไข้ลดลงรวดเร็วและมีการรั่วของพลาสมา ถ้าหากมีการรั่วอย่างมาก จะเกิดอาการช็อคได้ ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วและเบา มีความดันโลหิตต่ำ และอาจมีอาการเลือดออกที่อวัยวะอื่นๆ ในรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือดซึ่งมักจะเป็นสีดำ
ระยะฟื้นตัว เป็นระยะที่พลามากลับเข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยมีอาการทั่วไปดีขึ้น มีความอยากอาหาร ปัสสาวะเพิ่มขึ้น มีผื่นเป็นวงกลมสีขาวกระจายอยู่บนปื้นสีแดงและอาจมีอาการคันร่วมด้วย
เมื่อเป้นไข้เลือดออกแล้ว การรักษาผู้ป่วยจะต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจปริมาตรเกล็ดเลือดและระดับความเข้มข้นของเลือด โดยในระยะแรก ต้องหมั่นเช็คตัวเพื่อลดไข้ และถ้าเป็นเด็ก ต้องระวังเรื่องอาการชักและควรให้ยาลดไข้อย่างรอบคอบในเวลาที่มีไข้สูงเท่านั้น ไม่ควรใช้ยาพวกแอสไพริน และอีบูเทอเฟน เนื่องจากสเยงต่อภาวะเลือดออก ควรใช้พาราเซตามอลแทน ในกรณีที่เริ่มเข้าสู่ระยะวิกฤติหรือระยะที่มีการรั่วของพลาสมา เบื่ออาหาร ไม่ดื่มน้ำ ถ่ายปัสสวะน้อย อาเจียนมาก ปวดท้องรุนแรง ซึม มือเท้าเย็น ซึ่งอาจเป็นภาวะช็อก ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล เพื่อเฝ้ารอดูอาการจากแพทย์ตลอดเวลา ไม่ควรพากลับบ้าน
คำแนะนำ
ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูงติดต่อกันเกิน 3 วัน ควรพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง ระวังไม่ให้ยุงกัดในเวลากลางวัน และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

ที่มา  https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=3229&sub_id=95&ref_main_id=2

อัพเดทล่าสุด