แสดงว่าวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับเรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นหลัก สะท้อนถึงค่านิยมของสังคมเป็นอย่างยิ่งกลุ่มผู้ที่ต้องการศัลยกรรม ส่วนหนึ่งอาจมีปัญหาสุขภาพจิต

โดยกลุ่มแรก คือ วิตกกังวลเกินเหตุ กลุ่มที่สองคือ คือว่าตัวเองมีความบกพร่องตลอดเวลา ทำให้เกิดการทำศัลยกรรมมากกว่าหนึ่งครั้ง และกลุ่มที่สามคือ กลุ่มผู้มีภาวะซึมเศร้า โรคซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย มองตัวเองติดลบ ซึ่งรวมไปถึงความไม่พึงพอใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง

นพ.สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า สิ่งรอบตัวก็มีผลเช่นกัน เช่น พ่อแม่ เพื่อน โรงเรียน แพทย์ ตลอดจนถึงส่อมวลชน ควรมีการรณรงค์ส่งเสริมความสามารถเน้นคุณค่าทางบวกด้านอื่นๆ นอกจากด้านรูปร่างหน้าตา ควรระวังว่าการสร้างค่านิยม เรื่องความไม่พอใจในรูปร่างหน้าตา อาจมีปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆตามมาได้

รมช.สธ.ท่านนี้กล่าวเสริมอีกว่า บทบาทของวิชาชีพก็สำคัญยิ่ง โดยเฉพาะแพทย์และเภสัชกร ที่เกี่ยวข้องกับการรักษารูปร่างหน้าตา โดยต้องมีจรรยาแห่งวิชาชีพ คำนึงถึงว่าผู้รับการบริการมีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่  และส่งต่อพบจิตแพทย์เมื่อพบปัญหา มากกว่าการคำนึงถึงผลประโยชน์ตัวเอง

นพ.สุรวิทย์ อีกว่ากล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนค่านิยมที่เน้นแต่ความสวยความงามมากกว่าความรู้ความสามารถ หรือการทำดีช่วยเหลือสังคม ซึ่งต้องปลูกฝังกันตั้งแต่วัยเด็ก ผู้ใหญ่ก็ควรเป็นตัวอย่างที่ดี ครอบครัว เพื่อนฝูงและคนรอบตัวก็ช่วยกันสังเกตและให้กำลังใจผู้ที่มีปัญหา มิใช่ซ้ำเติม เพราะอาจส่งผลกับโรคซึมเศร้า การฆ่าตัวตาย และเป็นปัญหากระทบกับสังคมโดยรวมในอนาคต อย่างไรก็ตาม ทุกท่านสามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตได้ที่สายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
ที่มา  https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2526&sub_id=71&ref_main_id=2