การสอนคนให้หายใจคงไม่ต่างจากการสอนปลาว่ายน้ำเป็นแน่ เผลอ ๆ หลาย ๆ ท่านอาจจะนึกขำว่าการหายใจมันง่ายเสียยิ่งกว่าการให้ปลาว่ายน้ำเสียด้วยซ้ำ
เพราะกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของคนเราไม่เคยสังเกตและสนใจการหายใจของตัวเองเลย ทั้ง ๆ ที่การหายใจอย่างถูกวิธีมีประโยชน์มากมายต่อตัวคุณ |
ดร.แอนดรู ไวล์ แพทย์แนวหน้าผู้บุกเบิกการบำบัดรักษาโรคและการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แบบผสมผสาน ได้กล่าวถึงความสำคัญของการหายใจว่า "ลมหายใจเป็นตัวเชื่อมระหว่างร่างกายกับจิตใจ และจิตสำนึก ลมหายใจเป็นกุญแจสำคัญที่จะควบคุมอารมณ์ทั้งหลาย และควบคุมการทำงานของระบบประสาทสั่งการอัตโนมัติ นอกจากนี้ ลมหายใจยังเป็นดัชนีบ่งถึงการแปรฝันในจิตใจต่อเรื่องที่ผ่านเข้ามา หากให้ความสนใจกับลมหายใจ เขาจะสามารถเคลื่อนเข้าสู่การผ่อนคลายและเข้าสู่สมาธิโดยอัตโนมัติ และทำให้สัมผัสถึงปัจจัยสำคัญแห่งการ "ดำรงอยู่" ซึ่งมิได้อาศัยเพียงแต่ร่างกายเท่านั้น" ด้วยความที่ร่างกายของเราของเราใช้พลังงานจานการเผาผลาญออกซิเจนที่หายใจเข้าไปในร่างกาย ยิ่งออกซิเจนมากเท่าไหร่ การสันดาปก็จะเกิดขึ้นเร็วและสมบูรณ์มากเท่านั้น การหายใจอย่างเต็มปอดจึงทำให้ร่างกายเราได้รับพลังงานที่เสถียร การฝึกหายใจทำได้ง่าย ๆ คือหายใจช้า ๆ เข้าไปจนเต็มปอด (สังเกตว่าหน้าท้องของเราจะบวมขึ้น) จากนั้นกลั้นหายใจไว้ประมาณ 3-5 วินาที แล้วจึงค่อย ๆ ผ่อนลมออกมาจนสุด (สังเกตว่าหน้าท้องจะแฟบลง) เพียงแค่นี้คุณก็สามารถทำให้ร่างกายของคุณทำงานได้อย่างเสถียรแล้ว |
1.ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยเกินไป ทำให้ร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ 2.มีอากาศเก่าตกค้างอยู่ในปอดมาก 3.มักจะอ่อนเพลีย มึนงง เหนื่อยง่าย และใจสั่น 4.ร่างกายอ่อนแอ |
1.ข้อดีที่สำคัญที่สุดของการหายใจอย่างถูกวิธีนั่นคือ ความสวย อย่างที่ทราบกันดีว่าอนุมูลอิสระเป็นสาเหตุของความแก่ ทำให้ผิวเสีย มีริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งอนุมูลอิสระในร่างกายเราเกิดได้หลายสาเหตุ รวมถึงของเสียจากการเผาผลาญอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ดังนั้นหากเราหายใจไม่ถูกวิธี หายใจถี่และเร็วเกินไปจะยิ่งกระพือการเผาผลาญพลังงานทำให้เกิดของเสียซึ่งเป็นอนุมูลอิสระมากขึ้นเป็นทวีคูณ นอกจากนี้การหายใจตื้นก็เป็นการสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ในร่างกาย ซึ่งเป็นผลให้ผิวเราหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการหายใจอย่างถูกวิธีจึงทำให้คุณดูดีขึ้นจากภายในแน่นอน 2.การหายใจอย่างถูกวิธีช่วยลดความอ้วน เพราะการหายใจอย่างถูกวิธีช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด เลือดจึงเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดี และกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ ระบบการเผาผลาญไขมันของเรายิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นอันเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี 3.พัฒนาการทำงาน ถ้าใช้เวลาสักเล็กน้อยสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วกลับไปทำงานที่ทำอยู่ต่อ จะทำให้มีพละกำลังในการทำงานนั้น ๆ ต่อไปอีกโดยไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด 4.เพิ่มพละกำลัง ในขณะที่หายใจลึก ๆ ลองกลั้นลมหายใจไว้ แล้วไปลองยกของหนัก ๆ ดูจะรู้สึกว่าของหนัก ๆ นั้นเบาขึ้นได้อย่างน่าแปลกใจ ทำให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี 5.หายเหนื่อย ในขณะที่ขึ้นบันไดสูง ๆ ถ้าลองใช้วิธีขึ้นไปสักสองขั้นแล้วหายใจลึก ๆ กลั้นไว้แล้วค่อยขึ้นไปอีก 4 ขั้นจึงหายใจออกมา ทำสลับกันอย่างนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อยน้อยลง แต่ถ้ามีความรู้สึกว่าเหนื่อยมากให้หายใจออกมาดัง ๆ ทางปากคล้ายเสียง "ฮา" สัก 2-3 ครั้ง ก็จะทำให้ความรู้สึกที่เหนื่อยนั้นหายไป 6.เพิ่มความอบอุ่นเวลาอากาศหนาว ถ้าหายใจทางปากคล้ายเสียง "ฮา" ดัง ๆ จะสังเกตเห็นว่าความหนาวลดน้อยลงและความรู้สึกอบอุ่นจะเข้ามาแทนในเวลาอันรวดเร็ว 7.ความเครียด หอบหืด ไซนัส ก็จะบรรเทาลง 8.นอนหลับดีขึ้น เนื่องมาจากออกซิเจนเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เราสามารถหลับได้อย่างปกติ |
เห็นหรือไม่ว่า เพียงแค่วิธีง่าย ๆ ที่คุณอาจไม่เคยนึกถึงหรือไม่เคยรับทราบมาก่อน แต่มันมีประโยชน์ต่อร่างกายคุณมากมาย ทั้งเรื่องสุขภาพและความงาม
ท่าที่ 1 ท่าหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อท้อง ประโยชน์ การบริหารการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม (Abdominal or Diaphragmatic Breathing) เป็นการหายใจที่ใช้กำลังน้อยที่สุด และได้ลมเข้าออกจากปอดมากที่สุด การเตรียมตัวขั้นต้น นอนหงายกับพื้น วางต้นแขนทั้งสองข้างแนบลำตัว วางมือบนหน้าอกและหน้าท้อง งอเข่าทั้งสองข้างขึ้นในท่าที่สบาย ฝึกหายใจเข้า ให้สูดหายใจเข้าลึก ๆ ทางจมูกให้หน้าท้องป่องออก หัดทำอย่างนี้ 2-3 ครั้งจนชำนาญ ถ้าหายใจถูกต้อง หน้าท้องจะป่องออกและหน้าอกจะมีการเคลื่อนไหวน้อยมาก โดยเฉพาะส่วนบนสังเกตจากการยกขึ้นของมือทั้งสองที่วางทาบไว้ ฝึกหายใจออก ผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ ผ่านทางไรฟันในขณะที่ริมฝีปากเผยออกเพียงเล็กน้อย ให้ระยะเวลาของการหายใจออกเป็นประมาณ 3 เท่าของระยะเวลาหายใจเข้า จะเห็นว่ามือที่วางทาบอยู่บนหน้าท้องเคลื่อนลง ส่าวนมือที่วางอยู่บนหน้าอกจะเคลื่อนไหวน้อยมาก นี่คือการหายใจออกโดยกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อหน้าท้อง ควรหัดทำแบบนี้ซ้ำหลาย ๆ ครั้งจนแน่ใจว่าสามารถหายใจเข้าและออกโดยวิธีดังกล่าว ซึ่งการหายใจดังกล่าวนี้จะใช้ในทุกท่าของการบริหารที่จะทำต่อไป |
ท่าที่ 2 ท่าหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อทรวงอกด้านข้าง ประโยชน์ ช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวทรวงอกให้มากขึ้น และช่วยในการขับเสมหะ การเตรียมตัว วางฝ่ามือทั้ง 2 ข้างลงบนสีข้างของทรวงอกส่วนล่าง หายใจเข้าและหายใจออก โดยวิธีการดังกล่าว ให้บริเวณทรวงอกและชายโครงส่วนล่างโป่งออกในช่วงหายใจเข้าและยุบลงให้มากที่สุด ในช่วงหายใจออก เมื่อชำนาญแล้วใช้มือกดเบา ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ออกแรงมากขึ้น ขณะหายใจเข้าและเพื่อให้ลมออกจากปอดส่วนล่างให้มากที่สุดในขณะหายใจออก |
ท่าที่ 3 ท่าหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อทรวงอกส่วนบน ประโยชน์ เพื่อให้ลมออกจากส่วนนี้ให้มากที่สุด และให้ทรวงอกส่วนบนแข็งแรงขึ้น ท่านี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจตีบเรื้อรังจนมีหน้าอกโป่งพองออกมา เช่น ในพวกที่เป็นหืด หรือถุงลมโป่งพองเรื้อรังเป็นต้น การเตรียมตัว วางมือบนหน้าอกใต้กระดูกไหปลาร้า ใช้ปลายนิ้วมือกดเบา ๆ หายใจเข้าให้อกส่วนบนขยายตัวดันนิ้วมือขึ้น ไม่ควรเกร็งไหล่ ปล่อยให้ไหล่หย่อนตามปกติ หายใจเข้าแล้วกลั้นไว้ 1-2 วินาที แล้วจึงหายใจออก ขณะที่หายใจออกให้ทรวงอกส่วนนี้ยุบลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้มือกดช่วย ที่มา https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2409&sub_id=103&ref_main_id=2 |