พักนี้มีโรคที่ร้ายแรง เข้ามาเป็นข่าวบ่อย ผมเองและแพทย์ทั้งหลายต้องทำงานหนัก ในการอธิบายว่า โรคที่เราเป็นนั้น เป็น หรือไม่เป็น หรืออาจเป็นโรคใดบ้าง(โรคยอดฮิตที่ถูกถามมากที่สุดคือ ผมจะเป็นไข้เลือดออกหรือเปล่า จะเป็นหวัดนก มาลาเรีย ไข้กาฬหลังแอ่นฯลฯ หรือเปล่า) โอกาสเหมาะวันนี้ ได้พบเนื้อหาดี ๆ จากชีตเก่าๆที่จดมาเลยนำเรื่อง ไข้กาฬหลังแอ่นมาเล่าสู่กันฟัง
ตอนเป็นแพทย์ฝึกงาน นานๆมากจึงจะเจอคนไข้สักราย (10 ปีในเมืองไทยเจอคนไข้ไม่ถึง 100 ราย นับเป็นโรคที่เจอน้อยมากๆ) แต่เจอแล้ว ทั้งหมอ พยาบาล จะตื่นเต้นมากเพราะ
- เจอน้อยมากในไทย ส่วนใหญ่จะเจอในเขตเมืองหนาว หรือผู้ไปแสวงบุญที่ตะวันออกกลาง
- เจอแล้วส่วนใหญ่จะตายหรือพิการ รุนแรงมาก
- คนที่เข้าไปสัมผัสเชื้อทั้งหมด ไม่เว้นแพทย์ พยาบาล เปล ยามฯลฯ ต้องกินยาป้องกันเชื้อกันถ้วนทั่วทุกคน
เนื่องจากเจอน้อย แพทย์และคนทั่วไปอาจไม่มีประสบการณ์ (ผมเองเจอแค่ 2ราย ต้องกินยา ไรแฟมพิซิน ป้องกัน เข็ดจนตาย)
ข้อมูลจาก อ.พรรณพิศ อายุรศาสตร์ จุฬา นำมาฝากครับ จากไทยเฮลท์ เอนไซโคลปีเดีย
โรค “ ไข้กาฬหลังแอ่น ” เป็นชื่อที่บรรยายถึงอาการได้ดี คือ จะมีไข้ และ อาจจะมีอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ได้แก่ อาการคอแข็ง ถ้าถึงกับ “ หลังแอ่น ” แสดงว่า อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบรุนแรงมากแล้ว ส่วนคำว่า “ กาฬ ” แปลว่า สีดำ หมายถึง โรคนี้ร้ายแรงถึงชีวิต โดยสรุปก็คือ อาการจะเริ่มจาก ไข้สูง เจ็บคอ โรคนี้ สามารถติดต่อได้ ทาง การไอจามรดกัน หรือ การสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ น้ำเหลือง ดังนั้น ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยนานๆ จะมีโอกาสได้รับเชื้อ เพราะผู้ป่วยเหล่านั้น จะมีเชื้ออยู่ในลำคอ ตั้งแต่ก่อนมีอาการไข้
เชื้อโรคจะสามารถ กระจายไปได้ 2 แบบ คือ
แบบแรก เชื้อโรคกระจายไปที่ เยื่อหุ้มสมอง ทำให้ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ( ทำให้มีอาการคอแข็ง หลังแข็ง ปวดศีรษะ อาเจียน ผู้มีอาการเช่นนี้ ถ้าหากรีบไปพบแพทย์ได้เร็ว สามารถรักษาได้ทันแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายดี )
ภาพจุดเลือดออก จากการกระจายเชื้อในกระแสเลือด (meningococcemia)
แบบที่สอง เชื้อโรคกระจายไปสู่ อวัยวะอื่น ( ที่ไม่ใช่สมอง ) เนื่องจากเชื้อโรค เข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะปกติดีในระยะแรก อาการแสดงออกของอวัยวะอื่นๆ ไม่ค่อยชัดเจน เนื่องจาก อยู่ในระยะที่เชื้อโรคกระจายไปหลายแห่ง เช่น ปอด หัวใจ ต่อมหมวกไต ช่วงที่อาการของอวัยวะแต่ละระบบยังไม่ปรากฏชัดนี้ จึงทำให้ผู้ป่วยคิดว่าเป็น ไข้หวัดธรรมดา จึงไม่ได้รักษาในระยะแรก เมื่อเวลาผ่านไป เชื้อโรคแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาที่อาการแสดงออกมาให้เห็น ก็แสดงว่า มีเชื้อโรคอยู่มากมายในร่างกายแล้ว จนอาจทำให้มีอาการช็อก และเลือดออกตามทวารต่างๆ หรือมีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง ดังเช่นตัวอย่างที่ปรากฏในข่าวจากหนังสือพิมพ์ อาการที่พบได้บ่อยในระยะแรก คือ ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดต้นคอ คลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยอาจมีอาการซึมลง หรือ นอนตลอดเวลา มีผื่นตามตัว ผื่นนี้จะมีลักษณะเป็น จุดแดง เหมือนไข้เลือดออก หรือ ดำคล้ำ มักพบตาม แขน ขา อาจมีตุ่มน้ำ ซึ่งภายในตุ่มจะมีเชื้ออยู่ด้วย
การดูแลรักษาไม่ให้เข้าสู่การติดเชื้อรุนแรง นั้น ควรไปพบแพทย์ตั้งแต่วันแรก เมื่อ มีอาการไข้ เจ็บคอ เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของ โรค “ ไข้กาฬหลังแอ่น ” เป็น เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “ ไนซีเรีย เมนนิงไจทิดิส ” ( Neiseria meningitides ) ซึ่งที่จริงแล้ว เชื้อนี้จะถูกทำลายด้วย “ ยาปฏิชีวนะ ” พื้นๆ ทั้งหลาย เช่น เพนนิซิลิน , อีริโทรมัยซิน และมีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่เชื้อโรคจะดื้อยา ดังนั้น หากได้รับการรักษาตั้งแต่ในวันแรก เชื้อโรคมักจะ ไม่กระจายไปสู่อวัยวะในระบบอื่นๆ
ดังนั้น ถ้ามี ผู้ป่วยเป็นโรค “ ไข้กาฬหลังแอ่น ” หรือ ผู้ที่เข้าข่าย เป็น ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ควรได้รับ “ ยาปฏิชีวนะ ” ( Antibiotic )
ผู้ที่ควรได้รับ “ ยาปฏิชีวนะ ” เพื่อฆ่าเชื้อและป้องกันโรค ได้แก่ 1. สมาชิกในครอบครัว ที่อยู่บ้านเดียวกัน 2. เพื่อนนักเรียน ในชั้นเรียนเดียวกัน 3. ทหารที่ปฏิบัติงาน หรือนอนในค่ายเดียวกัน 4. เจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วย |
“ ยาปฎิชีวนะ ” ที่ให้แก่ ผู้สัมผัสโรคใกล้ชิด ได้แก่ ยา “ ซิบโปรฟลอกซาซิน ” โดยให้กินครั้งเดียว 500 มิลลิกรัม สำหรับ วัคซีนป้องกันโรค ในช่วงระบาด จะไม่มีประโยชน์ และวัคซีนที่มีจำหน่ายปัจจุบัน ก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ เพราะ ไม่มีสายพันธุ์ที่พบในประเทศส่วนใหญ่ รวมทั้งประเทศไทย ยกเว้น ผู้ที่จะเดินทางไปทำพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง
การป้องกันโรคที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยง การไอจามรดกัน ไม่ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ล้างมือให้สะอาดเมื่อสัมผัสน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วย
ข้อมูล รศ.พญ พรรณพิศ สุวรรณกุล ภาควิชาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา https://www.thaihealth.net/h/article578.html
ที่มา https://www.thaihealth.net/h/article578.html