พอกันทีค่ะ…กับการมาพูดเรื่องเดิมๆ ว่าทำไมโลกร้อน ทำไมสภาพแวดล้อมถึงเปลี่ยนแปลง ทำไมเกิดภัยพิบัติหลายอย่างทั่วโลกในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด โรคระบาด ฯลฯ ?
เพราะเราฟังกันบ่อยจนเคยชิน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร
หยุด !
อย่าคิดว่าคุณ ดิฉัน เราเป็นเพียงคนเล็กๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้
แค่เปลี่ยนตัวเองเท่านั้น คุณ ดิฉัน เราก็ทำได้แล้วค่ะ
ภ
เข้าใจธรรมชาติ= เข้าใจตัวเอง
ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก ท้องฟ้าที่เราเห็นก็ไม่ใช่แค่ท้องฟ้า ผืนน้ำที่เราเห็นว่าสวย ลึกลงไปมีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่มากมาย แผ่นดินแข็งๆ ที่เรายืนอยู่นี้ ภายในกลับมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพราะทุกสิ่งดำเนินไปตามธรรมชาติอยู่เสมอ…
แต่เมื่อมีอะไรไปสกัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดแผกไปจากวิถีธรรมชาติ จะส่งผลให้ระบบอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันผิดเพี้ยนไปด้วย น่าเศร้าค่ะที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือมนุษย์ เพราะเราไปฝืนธรรมชาติ ไม่เข้าใจธรรมชาติ และกระทำในสิ่งที่ทำร้ายธรรมชาติลงเรื่อยๆ
เช่น เราอาจนั่งอ่านสกู๊ปฉบับนี้อยู่ในห้องเปิดแอร์ให้อากาศเย็นอยู่ตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้ แต่ลืมไปหรือเปล่าว่าสรรพสิ่งในโลกล้วนเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง แม้แต่ธรรมชาติในตัวเราเอง เราก็ยังไม่สามารถทำให้ลมหายใจนิ่งได้ สูดเข้าก็ต้องปล่อยออก หรือจะบอกว่าไม่อยากขับถ่ายเพราะเป็นสิ่งสกปรก จะกินอย่างเดียวไม่ขับถ่าย ก็อาจทำได้โดยไม่กินอาหารที่เป็นกากใย แต่มันก็จะเกิดสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในตัวเราตามมา
ฉะนั้น สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการอยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติค่ะ คือ..
ภ
- กิน อยู่ วิถีไทย
วิถีความเป็นอยู่แบบไทยของคนรุ่นก่อนมีความเข้าใจธรรมชาติมาก เพราะให้เวลากับชีวิตมากด้วยเห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ รู้ว่าปัจจัยที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตก็คือธรรมชาติ จึงทำให้เข้าใจในธรรมชาติ และมองว่าบ้านคือที่ทำมาหากิน การสร้างบ้านคือการสร้างสวน สร้างนา พอมีนา ก็มีข้าวกิน มีสวนก็มีแร่ธาตุ มีปลามีโปรตีนอยู่ในน้ำ เมื่อปัจจัยดำรงชีพครบถ้วนบ้านก็กลายเป็นสวรรค์บนดินนี่เอง
ภ
-ยืดหยุ่นกับชีวิต
ทุกวันนี้เราไม่มีความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต นั่นหมายถึงเราต้องการให้ธรรมชาติเป็นอย่างที่เราต้องการ แต่ไม่ได้ปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่ธรรมชาติเป็น บางคนแต่งตัวตามแฟชั่นด้วยเสื้อผ้าหนาๆ ทั้งที่บ้านเราเป็นเมืองร้อน แล้วก็เปิดแอร์ตั้งแต่ในบ้าน ในรถยนต์ ที่ทำงาน แม้แต่ห้องน้ำเดี๋ยวนี้ก็ติดแอร์ แต่กลับชอบอาบน้ำอุ่น ความร้อนของน้ำเลยไปละลายไขมันที่ผิวหนัง ทำให้ผิวแห้ง ก็ต้องหาโลชั่น หาครีมบำรุงมาทามารักษาผิว
ถ้าเราไม่รู้จักยืดหยุ่นตามสภาพแวดล้อม มันก็เท่ากับเราทำร้ายตัวเองตลอดเวลา แล้วเราจะอยู่รอดได้อย่างไร
ภ
เลี้ยงลูก…ให้เป็นมิตรกับธรรมชาติ
เราต้องเลี้ยงดูสอนลูกให้เป็นมิตรกับธรรมชาติค่ะ สอนให้เข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว ให้รู้จักคิดและใช้ความคิด เพราะความคิดจะทำให้ลูกรู้ผิดชอบชั่วดี เข้าใจสิ่งต่างๆ เห็นอกเห็นใจสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่มีค่าที่สุด ด้วยการ..
รู้จักธรรมชาติการเรียนรู้ของลูก ซึ่งมี 2 แบบ
1. การเรียนรู้ด้วยการซึมซับ
2. การเรียนรู้ด้วยการสั่งสอน
การเรียนรู้ด้วยการซึมซับจะให้ประสิทธิผลถึง 95 % ค่ะ แต่การสั่งสอนที่ว่าปาวๆ จะได้ผลแค่ 5 % เท่านั้น เพราะการเรียนรู้จากการซึมซับกิดจากการอยากรู้ของลูกเอง แต่การเรียนรู้ด้วยการสั่งสอนบางครั้งกลับเป็นการยัดเยียดในสิ่งที่ลูกไม่อยากรู้ ฉะนั้นถ้าเราอยากให้ลูกเป็นแบบไหน พ่อแม่ก็ต้องเป็นแบบนั้น เพราะการเรียนรู้ที่ดีและได้ผลก็คือการซึมซับตัวอย่างที่ดีจากพ่อแม่นั่นเอง
ภ
ไม่เลี้ยงลูกให้เป็นมาร
ในที่นี้หมายถึงการเลี้ยงลูกไม่ให้ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรืออยากได้ของที่ไม่ได้อยู่บนพื้นของความเป็นจริง หากลูกไม่เป็นมาร เขาก็จะเห็นคุณค่าของสิ่งมีชีวิต รักสิ่งมีชีวิต รักสิ่งแวดล้อม และสามารถปรับตัวเข้ากับธรรมชาติได้
แต่ควรเลี้ยงลูกให้เป็นเทพ เลี้ยงลูกตามปัจจัยที่เป็นจริง ลูกอยากได้อะไรก็ต้องหัดให้เขาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ต่อไปเมื่อลูกอยากได้อะไรก็จะทำเอง หาเอง ไม่เรียกร้องกับใคร ลูกก็จะภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองหามาได้ ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต จะทำให้ลูกเป็นคนที่มีจิตใจเต็มและสมบูรณ์ค่ะ
ภ
3 เรื่องควรสอนก่อนอนุบาล
1. ความเมตตา หากลูกมีเมตตาอยู่ในใจ เมื่อเห็นชีวิตอื่นเป็นทุกข์ก็จะช่วยเหลือ มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เข้าใจว่าเราดำรงชีวิตร่วมกับคนทั้งโลก ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
2. คุณธรรม คือการสอนให้รู้ว่าสิ่งไหนบาป สิ่งไหนไม่บาป ไม่ใช่สอนให้รู้ว่าสิ่งไหนดีหรือสิ่งไหนไม่ดีนะคะเพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรดี และไม่มีอะไรไม่ดี เพราะหากเรามองด้านที่ได้ประโยชน์เราก็ว่าสิ่งนั้นดี แต่ถ้ามองมในมุมที่เสียประโยชน์เราก็จะว่าสิ่งนั้นไม่ดี
ดังนั้น ลูกจึงจำเป็นต้องรู้จักคิดว่าอะไรบาป อะไรไม่บาป เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวอยู่ภายใต้จิตสำนึกของเรา แต่ดีชั่วเป็นเรื่องส่วนรวม ถ้าลูกมีจิตเมตตา เขาก็จะประกอบแต่กรรมดี คนอื่นๆ ก็จะได้ประโยชน์จากเขามากมาย
3. ความคิด บางครั้งศัตรูของความคิดก็คือความรู้ค่ะ เพราะถ้าเราสอนลูกโดยเอาความรู้ไปจับ ลูกก็จะไม่ได้คิดต่อ แต่ถ้าเอาความคิดเข้าไปจับ ลูกจะได้ประเด็นหลากหลายมากทำให้มองเห็นปัญหารอบด้าน
ภ
เปลี่ยนเรา…เปลี่ยนชีวิต...เปลี่ยนสังคม
การเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราเอง อาจดูเหมือนจะเห็นผลช้า หรือไม่น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไร แต่เชื่อเถอะค่ะว่าแค่เริ่มจากตัวเรานี่แหละ มันจะส่งผลต่อได้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ช้าหรือเร็วก็ตาม และจะเชื่อมโยงให้เกิดสิ่งดีตามมา วิธีมีดังนี้ค่ะ
ภ
เปลี่ยนที่1 : ลดข้อจำกัดในชีวิต
- ทำตัวให้เป็นแมลงสาบ ไม่ได้หมายความว่าให้ทำตัวสกปรกนะคะ แต่ให้กินง่าย อยู่ง่ายเหมือนแมลงสาบ เพราะแมลงสาบไม่มีข้อจำกัดในชีวิต อยู่ที่ไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้ บนต้นไม้ก็อยู่ได้ บนดินก็อยู่ได้ ในน้ำก็อยู่ได้ ไดโนเสาร์ตัวใหญ่กว่ามันตั้งเยอะยังสูญพันธุ์ แต่แมลงสาบกลับอยู่ได้มาถึงตอนนี้
- ทำตัวเหมือนพระธุดงค์ ซึ่งจะพกกะลาใส่ย่ามไว้ เช้าขึ้นมาเดินไปที่ลำธารก็ตักน้ำล้างหน้า ล้างหน้าสะอาดแล้วก็เอากะลาใส่ข้าว เอากะลาใช้หมดทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีภาชนะ
ครั้นมองกลับมาที่ตัวเรา ตื่นเช้าก็ต้องมีแก้วแปรงฟัน ออกจากห้องน้ำแต่งตัวเสร็จมาโต๊ะอาหารก็เจอแก้วนม ข้างๆ แก้วนมเป็นแก้วน้ำ ถัดไปอีกหน่อยเป็นแก้วกาแฟกับจานรอง นอกจากนี้ก็มีจานข้าว จานขนม มีช้อนคาว ช้อนหวาน แล้วก็มีช้อนกาแฟ แต่ถ้าเรารวบทั้งหมดให้เหลือน้อยชิ้นที่สุด ชีวิตในหนึ่งวันของเราก็จะง่ายขึ้น
ภ
เปลี่ยนที่ 2 : ละความอาย
ถ้าเราละความอายบางอย่างได้ สิ่งวิเศษจะเกดขึ้นมากมายเลยค่ะ เพราะความอายคือความรู้สึกของเราที่คิดว่าคนอื่นเขาจะคิดกับเราอย่างไรมากกว่าคิดถึงสิ่งที่เราจะทำ ถ้าเราไม่อายศักยภาพในการเป็นตัวของเราเองก็จะสูงมาก จนเกิดความมั่นใจทำในเรื่องต่างๆ ที่คนอื่นไม่ทำได้ โดยเฉพาะในเรื่องต่อ่ไปนี้
-ไม่อาย…ในความเป็นไทย : ความเป็นไทย ความเป็นชาติไทยที่มีวัฒนธรรมประเพณี มีวิถีชีวิตทีงดงามมากมายและมายาวนานคือความภูมิใจที่เราต้องเชิดชูไว้ เช่น หันมาใส่ผ้าไทย ผ้าที่ทอจากเส้นใยธรรมชาติ ไม่ใช่ชุดอิมพอร์ตจากชาติอื่นๆ หรือกินผลไม้ไทยที่มีมากมาย นอกจากจะลดค่าพลังงานที่ใช้ในการส่งสินค้าแล้ว ยังดีต่อชีวิต สร้างรอยยิ้มให้หัวใจเกษตรกรไทยอีกด้วย
-ไม่อาย…ที่จะประหยัด : ห่อข้าวมากินเองที่ออฟฟิศ เปิดแอร์เปิดไฟเท่าที่จำเป็น ใช้ของมือสองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ หนังสือ นิตยสาร หรือหันมาออกกำลังกายเองที่บ้านแทนการเข้าฟิตเนส ฯลฯ พยายามให้คำว่า “ประหยัด” ฝังเข้าไปในมโนสำนึกของเราให้ได้ แล้วการกระทำจะตามมาโดยง่ายดายค่ะ
ภ
เปลี่ยนที่ 3 : เลิกใช้ความรู้นำความคิด
คนที่คิดเป็นอาจไม่ใช่คนที่มีความรู้ก็ได้ เพราะความรู้คือปุ๋ย ที่ส่งเสริมให้ต้นอหังการในตัวเราเจริญเติบโต เมื่อต้นอหังการเจริญเติบโต เราก็จะบอกว่าธรรมชาติเป็นของจิ๊บจ๊อยอยู่ในมือ จะทำอย่างไรก็ได้ เลยไม่ใส่ใจว่าธรรมชาติจะเป็นอย่างไร เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็จัดการได้ เหมือนกับที่เราทำๆ กันอยู่ในทุกวันนี้ไงคะ
ภ
ลองเลือกคำตอบจากคำถามต่อไปนี้นะคะ..
1. ช่วยกันปลูกต้นไม้สร้างพื้นที่สีเขียวให้กรุงเทพฯ
ผลลัพธ์คือ : ประเทศชาติไม่ร่ำรวย แต่คนในประเทศได้สุขภาพและจิตวิญญาณ
2. ตัดต้นไม้ให้หมดกรุงเทพฯ แล้วทำเป็นทางด่วน ทำเป็นถนน
ผลลัพธ์คือ : ประเทศชาติร่ำรวย เพราะขายน้ำมันได้เยอะ ขายรถได้เยอะ ขายประกันอุบัติเหตุได้ ธุรกิจโรงพยาบาลฟูเฟื่อง ธุรกิจประกันภัยรุ่งเรือง แต่ไม่ให้สุขภาพ ไม่ให้ชีวิต สูญเสียจิตวิญญาณ
ถ้าเลือกแบบแรก แสดงว่าคุณเป็นคนไทยที่คิดเป็นค่ะ เพราะคุณไม่ได้ให้ค่ากับเงินมากกว่าค่าของชีวิต และเมื่อมีคนหนึ่งคิดได้ เริ่มทำกับตัวเอง แล้วต่อยอดไปถึงคนในครอบครัว เมื่อทุกครอบครัวทำ สังคมจะเข้มแข็ง ถ้าสังคมที่เข้มแข็งมีเยอะ ประเทศชาติก็จะมั่นคง ประเทศไหนก็ตามที่มีความมั่นคง ประเทศนั้นทรัพยากรก็จะยั่งยืนค่ะ
ภ
แม้คุณ ดิฉัน เราไม่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แต่หากค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอจนก
ที่มา https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=1082&sub_id=3&ref_main_id=2