ลูกผู้ชาย (ตัวจริง)


1,001 ผู้ชม


โจ้นั่งหน้าง้ำ เบ้าตาซ้ายเขียวปัด ริมฝีปากเจ่อบวม ฟ้องสาเหตุการมาพบป้าหมอในวันนี้ได้โดยไม่ต้องบอกเล่าอาการ ท่าทีผลุนผลันลนลานตามเข้ามาของคุณพ่อคุณแม่ ทำให้ป้าอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้         โจ้นั่งหน้าง้ำ เบ้าตาซ้ายเขียวปัด ริมฝีปากเจ่อบวม ฟ้องสาเหตุการมาพบป้าหมอในวันนี้ได้โดยไม่ต้องบอกเล่าอาการ ท่าทีผลุนผลันลนลานตามเข้ามาของคุณพ่อคุณแม่ ทำให้ป้าอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ 

 


พ่อหนุ่มน้อยเจ็บปวดแค่ไหน พ่อแม่คงรวดร้าวยิ่งกว่า

ลูกใคร...ใครก็รัก ลูกใคร...ใครก็ห่วง

 

“โจ้ไปตีกับเพื่อนมาค่ะ...คุณหมอ”

 

น้ำเสียงเคร่งเครียดนั้น ทำให้ป้าหมอบอกได้ว่า นอกจากคุณแม่จะทุกข์ร้อนกับความเจ็บปวดของลูกแล้ว คุณแม่ยังมีความโกรธคุกรุ่นอยู่ในใจไม่น้อย

พ่อหนูจะถูกเอ็ดไปกี่ยกแล้วหนอ... ช่วงเวลาต่อไปคงเป็นเวลาของการดุว่าโจ้ชุดใหญ่ จากคุณแม่ในห้องตรวจนี้เป็นแน่... ป้าหมอเริ่มเดาตามประสบการณ์

...แต่...ขอโทษ...ผิดคาดค่ะ

 

“เป็นเพราะคุณพ่อทีเดียวค่ะ คุณหมอค่ะ”

 

คุณแม่หักมุมเป้าหมายการโจมตีมายังคุณพ่อได้อย่างกะทันหัน จนป้าหมอตั้งตัวแทบไม่ติด นึกตงิด ๆ ในใจว่า ลูกตีกับเพื่อนเกี่ยวกับพ่อยังไงเนี่ย...

 

“2-3 อาทิตย์ก่อน ลูกโจ้บ่นว่ามีเพื่อนมาแกล้ง ดิฉันก็คอยสอนให้แกอดทน ๆ แม่จะไปจัดการเพื่อนเอง แต่คุณพ่อนี่แหละ...ไม่รู้เรื่องเลย ไปทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ แถมยังสอนให้ลูกไปตีกับเค้าอีก...”

“เปล่านะ...ผมก็แค่บอกว่าเค้าแกล้งมาก็แกล้งกลับเสียซิ...ไม่ได้บอกให้ไปตีกับใคร ซะหน่อย”

 

คุณพ่อขัดขืนด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ ดูเป็นการพยายามแก้ตัวทั้งที่ตนเองก็กำลังรู้สึกผิดเต็มที่เลยเชียวแหละ

 

“ก็นั่นแหละ...แกล้งกลับก็แปลว่าให้ไปมีเรื่องกับเค้านั่นแหละ... เด็กสมัยนี้มันก้าวร้าวจะตายไป”

 

ป้าหมอนึกขำในใจ... ผู้ใหญ่สมัยนี้เองก็ใช่ย่อย ที่นั่งอยู่ในห้องตรวจนี้ ก็ดูไม่ธรรมดาเลย ความรู้สึกห่วงลูกสามารถเร้าให้คุณแม่แสดงความก้าวร้าวต่อคุณพ่อได้เพิ่มขึ้นทุกที ๆ

 

“แล้วคุณไปสอนลูกยังงั้นได้ไง... ลูกเราก็ตัวนิดเดียว ยังจะไปยุให้ไปแกล้งคนอื่นกลับอีก เด็กกลุ่มนั้นตัวโตเบ้อเริ่ม...แล้วเป็นไง...ลูกต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ เพราะคุณแท้ ๆ เลยเชียว...”

 

“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง... ผมก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะ กับการที่คุณจะวิ่งไปตีกับเพื่อนแทนลูก ลูกเราจะเป็นหนุ่มอยู่อีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้วนะ จะมานั่งรอให้พ่อแม่ไปฟ้องครู ไปจัดการทะเลาะกับเพื่อนแทนเหรอไง เลี้ยงแบบนี้เด็กก็เป็นลูกแหง่ตลอดชีวิตแน่ ๆ... คุณแม่ เค้าคิดแต่แบบนี้ล่ะครับคุณหมอ แต่ผมน่ะไม่เอาด้วยหรอก...”

 

คุณพ่อเริ่มมีอารมณ์ตอบโต้ หลังจากนั่งจ๋องฟังคุณแม่ฉอด ๆ อยู่พักใหญ่ แต่ไหงหันกลับมากดดันกันด้วยการทำท่าชักชวนให้ป้าหมอเป็นพวกเฉยเลย...

 

ป้าหมอกระแอมเล็กน้อย เพื่อกลบความตกใจของตัวเอง แล้วเริ่มบทสนทนา

 

“หมอเข้าใจความรู้สึกของคุณแม่เลยค่ะ คุณแม่เป็นห่วง เพราะโจ้เป็นเด็กตัวเล็กและดูเหมือนว่าทักษะในการดูแลตัวเองยังค่อนข้างจำกัดอยู่... โจ้คะ...เรื่องนี้โจ้คิดยังไงบ้าง...”

 

ป้าหมอเปิดโอกาสให้โจ้ได้เริ่มมีบทบาทมีตัวตนในห้องตรวจวันนี้บ้าง

 

“ผมคิดอะไรไม่ออกครับ... ผมอยากจะตัวโต อยากจะมีกล้ามโต ๆ ...อย่างน้อยพวกนั้น จะได้กลัวผม ไม่มาแกล้งกันแบบนี้...”

 

“หมอชอบใจความคิดของโจ้จังเลยค่ะ การที่โจ้มีร่างกายแข็งแรงเป็นเรื่องดีแน่นอนค่ะ...”

 

“ดิฉันเคยบอกให้พ่อพาไปเล่นกีฬาบ้าง แต่คุณพ่อก็คอยอ้างแต่ว่าไม่มีเวลา...”

 

เอาอีกแล้ว...ทุกเรื่องที่เป็นความทุกข์ของลูก ล่วนเกิดจากปัญหาของพ่อทั้งนั้นในสายตาคุณแม่พาลเกเรคนนี้...

 

“ตอนนี้...ดูเหมือนจะเป็นโอกาสหนึ่งที่คุณพ่อและคุณแม่ รวมทั้งโจ๋เองจะต้องช่วยกันคิดหาทางออกในเรื่องการออกกำลังกาย การเล่นกีฬาและการกินอาหารที่มีประโยชน์ โจ้จะได้แข็งแรงเติบโตเต็มที่นะคะ... หมอเชื่อว่าถ้าช่วยกันคิด ช่วยกันดูแล ปัญหาเรื่องเวลาก็สามารถคลี่คลายไปได้ค่ะ...

...เรากลับมาคุยกันต่อเรื่องที่คุณแม่จะไปคุยกับเพื่อนของโจ้ โจ้มองเรื่องนี้ยังไงคะ”

“ผม...ก็...ตามใจแม่แล้วกัน...”

“โจ้เป็นเด็กน่ารักที่ให้เกียรติความเห็นของแม่ แต่หมออยากทราบว่า ถ้าโจ้เป็นคนตัดสินใจ โจ้อยากให้แม่ไปจัดการเพื่อนไหมคะ”

“ถ้าผมคิด... ผมก็ไม่อยากให้ไปหรอกครับ ผมอยากแข็งแรงแล้วก็จัดการปัญหานี้ด้วยตัวเอง...”

 

นั่นปะไร ลูกผู้ชายตัวจริง พ่อหนูกำลังจะเป็นหนุ่ม แนวคิดอยากพึ่งพิงและภูมิใจในตนเองได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นแล้ว

 

“หมอเข้าใจค่ะ ดูเหมือนว่าคุณพ่อก็เข้าใจความตั้งใจนี้ของโจ้เหมือนกัน”

 

คุณพ่อเริ่มยิ้ม ยืดอกขึ้นได้บ้าง ขณะที่คุณแม่ดูสลดไปบ้าง

“แต่คุณแม่อาจจะยังห่วงโจ้อยู่มาก”

“ใช่ค่ะ ก็เพราะโจ้คิดจะแก้ปัญหาเองตามที่พ่อสอนไงคะ โจ้ถึงได้ต้องเจ็บตัวกลับมา แบบนี้เจ็บยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ...”

“แหมคุณนี่...กะอีเรื่องเจ็บตัวแค่นี้ คนเรามันก็ต้องเรียนรู้การต่อสู้กันบ้าง แกล้งมาก็ แกล้งกลับไปเลย สู้ให้มันรู้กันไปเลย...”

คุณพ่อชัดฮึกเหิมขึ้น

 

“คุณพ่อคะ หมอเห็นด้วยค่ะกับแนวคิดที่คนเราต้องเรียนรู้การต่อสู้ แต่หมออยากให้โจ้ลองคิดช้า ๆ นิดนึง การต่อสู้ของโจ้ จำเป็นต้องเป็นการต่อสู้ด้วยกำลังเท่านั้นหรือ... โจ้เป็นเด็กฉลาด...โจ้เลือกใช้จุดเด่นของตัวเองให้เป็นประโยชน์ได้ โจ้อาจหาคำตอบได้ว่า เพราะอะไรเพื่อนกลุ่มนี้ถึงชอบรังแกโจ้ สถานการณ์อะไรที่ทำให้โจ้ถูกแกล้งได้ง่ายและบ่อย โจ้จะป้องกันสถานการณ์นั้นได้อย่างไร และในภาวะคับขันจวนเจียน โจ้จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นยังไงบ้าง ...โจ้ลองคิดดู...หมอเชื่อว่าโจ้จะมีคำตอบที่ดีสำหรับตัวเองค่ะ”

 

สายตาทั้งสามคู่ของพ่อแม่ลูกที่เป็นประกาย กับรอยยิ้มที่เริ่มปรากฏพร้อมกับบรรยากาศของความผ่อนคลายก่อนที่ครอบครัวนี้จะจากไป ทำให้ป้าหมอสบายใจขึ้น

 

อย่างน้อย วันนี้โจ้และคุณพ่อคุณแม่คงได้มีโอกาสร่วมกันทบทวนปัญหาและมองเห็นทางออกของการต่อสู้

 

เมื่อเรารู้จักใช้การต่อสู้ด้วยปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

เราจะสามารถเก็บการต่อสู้ด้วยกำลังไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย ที่เราอาจไม่จำเป็นต้องใช้เลยก็ได้
ที่มา  https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=1081&sub_id=2&ref_main_id=2

อัพเดทล่าสุด