ถอดรหัสความเก่งในตัวลูก


857 ผู้ชม


พ่อแม่ทุกคนาต่างวาดหวังให้ลูกของตนเองเป็นเด็กเก่งใช่ไหม วันนี้เรามาถอดรหัสความเก่งในตัวลูกกันดีกว่าค่ะ          พ่อแม่ทุกคนาต่างวาดหวังให้ลูกของตนเองเป็นเด็กเก่งใช่ไหม วันนี้เรามาถอดรหัสความเก่งในตัวลูกกันดีกว่าค่ะ 

การส่งเสริมให้ลูกเก่งที่เหมาะสมถูกทางเป็นอย่างไร ศาสตราจารย์ศรียา นิยมธรรม หัวหน้าภาควิชาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้คร่ำหวอดอยู่กับการค้นหาและสนับสนุนความเก่งในตัวเด็กๆ จะมาอธิบายสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะ

เด็กที่มีความเก่งนั้นมีปัจจัยอะไรที่เอื้อเขาบ้างคะ

การเลี้ยงลูกให้เก่ง ต้นทุนอันแรกคือสุขภาพของแม่และเด็กต้องดี คือไม่เป็นโรคเรื้อรังอุบัติเหตุขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด ถ้าพ่อแม่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์โอกาสที่จะถ่ายทอดยีนส์หรือโครโมโซมดีๆ ให้ลูกก็มีเยอะกว่า สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นต้นทุนอันดับแรก แต่สิ่งสำคัญต่อมาก็คือการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้

บางคนต้นทุนดี พ่อแม่เก่ง ดี รวย แต่วิธีการเลี้ยงดูไม่ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ก็อาจทำให้พัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเขาสูญเสีย ในขณะเดียวกันเด็กบางคนต้นทุนไม่ดี แต่ถ้าพ่อแม่ใส่ใจและจัดการเรียนรู้ให้เด็กอย่างเหมาะสมก็สามารถทำให้เด็กเก่งได้

พ่อแม่จะมีวิธีสังเกตความเก่งในตัวลูกได้อย่างไร

เด็กเก่งคือเด็กที่มีพัฒนาการเร็วกว่าวัย เช่น โดยเฉลี่ยเด็กจะพูดได้อายุ 1 ขวบ ถ้า 8 เดือนพูดได้แล้วก็เรียกว่าเก่ง แต่ยังมีอีกกลุ่มที่เรียกว่าบานช้า คือ ตอนเด็กยังเป็นฝ่ายรับข้อมูลเข้ามา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตลอดชีวิตจะไม่เก่ง เด็กบางคนก็เป็นม้าตีนต้นเด็กๆ เรียนเก่งแต่พอโตขึ้นกลับไม่เก่งก็มี เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องขีดเส้นว่าจะต้องค้นพบว่าลูกเก่งใน 3 เดือน 6 เดือน คนเป็นพ่อแม่ควรสังเกตดูว่าลูกไวในเรื่องอะไร เรื่องไหนไปเร็วเรื่องไหนไปช้า ถ้าเร็วก็ต้องส่งเสริม แต่ถ้าช้าก็ต้องกระตุ้น เด็กจะไปได้ไกลคือการสอนให้เขามีวินัยและเห็นตัวอย่างที่ดีจากพ่อแม่ สมมุติว่าเกิดมาศักยภาพเท่ากับ 5 แต่อบรมเลี้ยงดูดี ฝึกฝนสม่ำเสมอ ศักยภาพก็จะพัฒนาขึ้นไปถึง 8-9 ได้ ในทางกลับกันถ้ามีศักยภาพอยู่ 9 แต่ไม่ได้รับการส่งเสริม ปล่อยตามบุญตามกรรมก็จะถดถอยลงเหลือ 2-3 ได้เหมือนกัน

จะมีวิธีการสังเกตว่าลูกเก่งด้านไหนอย่างไรคะ

งานวิจัยบอกว่า คนเราใช้ความรู้ไปไม่เท่ากับที่เรามีอยู่ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตนเองเก่งด้านไหน ดังนั้นต้องใช้การวัดแววหรือการสังเกต ซึ่งไม่ได้หมายถึงความเก่งด้านสติปัญญาอย่างเดียว ถ้าเราเชื่อว่าความเก่งมีหลากหลาย ลูกปัญญาอ่อนก็เก่งได้นะ ทฤษฎีที่เรียกว่าพหุปัญญาของการ์เนอร์ เชื่อว่าทุกคนเกิดมามีความสามารถหลากหลายในตัว ตอนนี้มี 8 ด้าน ได้แก่ ด้านภาษา ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ (ความสามารถในการมองเห็นพื้นที่) ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุษย์สัมพันธ์ ด้านการเข้าใจตนเอง และด้านธรรมชาติวิทยา วิธีการสังเกตง่ายๆ ก็คือ ดูจากการเล่นของลูก เด็กจะเล่นเพื่อผ่อนคลาย และยังได้ฝึกทักษะจากการเล่นได้ด้วย เรียกว่าสังเกตดูได้ตั้งแต่วิธีเล่น เล่นคนเดียว เล่นกับเพื่อน อารมณ์ขณะเล่น

แต่การเฝ้าสังเกตอย่างเดียวอาจไม่ได้ผล คุณพ่อคุณแม่คงต้องใช้วิธีจัดสถานการณ์ช่วย เช่น ถ้าลูกสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีก็ลองพาไปเตะฟุตบอล หรือถ้าลูกไวต่อเรื่องเสียง เกิดเสียงดังนิดก็นอนหลับยากแล้ว แต่ถ้าฟังเพลงจะสงบ ก็รู้ได้ว่าประสาทสัมผัสเรื่องเสียงของเขาดี เราก็สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องรับที่ดีของเขาได้

เมื่อรู้ว่าลูกเก่งด้านไหนแล้ว พ่อแม่ควรจะต่อยอดส่งเสริมอย่างไร

เราควรให้เขาพัฒนาตามที่เขาควรจะเป็นมากกว่า ถ้าลูกจำเก่ง สามารถจำชื่อในสมุดโทรศัพท์ได้หมด ถามว่าจำไปทำไม พ่อแม่ควรส่งเสริมให้จำอย่างอื่นด้วย เช่น ถนน เส้นทาง ถ้าลูกคิดเลขเก่ง ก็ลองให้เขารู้จักการคำนวนเวลาไปซื้อของ ประมาณเส้นทาง ระยะทาง เราเอาสิ่งที่เขาชอบมาเป็นเรื่องสนุกให้เขาเรียนรู้ แต่หลายครั้งพ่อแม่ก็ทำลายความเก่งของลูกโดยไม่รู้ตัว เช่น การแย่งลูกพูดหรือไม่เปิดโอกาสให้ลูกพูด การปิดโอกาสไม่ให้ลูกได้เรียนในสิ่งที่อยากรู้ เป็นต้น

อาจารย์มีความเห็นอย่างไรที่บางครอบครัวให้ลูกเรียนพิเศษตั้งแต่เล็ก

การสอนที่บ้านถ้าหนักเรื่องวิชาการเกินไปก็ทำให้เด็กสมองแย่ได้ เหมือนเด็ก 3 เดือน ถ้าไปจับเดินทำให้ขาเสียก็มี ดังนั้นในแต่ละวัยควรดูแลลูกไปตามพัฒนาการ ไม่ไปเร่งเขาเกินไป บางครอบครัวสอนให้ลูกหัดเขียนตัวอักษรตั้งแต่ยังเล็ก จริงๆในวัยนีร้ควรหัดให้ลูกใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเขาแทน เช่น การส่งของให้แม่ วาดรูปเล่น เขียนบนทราย แบบนี้จะเหมาะสมมากกว่า

เด็กเก่งกับเด็ก Gifted child ต่างกันยังไงคะ

การวัดระดับไอคิวเด็ก 90-110 เป็นคนธรรมดา 110 ขึ้นไปหมายถึงเด็กฉลาดหรือปัญญาเลิศ และ150-160 จะเรียกว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ มีสติปัญญาสูงแต่มีไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์ ของคนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากเด็กที่มีไอคิวสูงแต่ไม่ได้นำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์ ความฉลาดก็จะไม่ปรากฎ

แล้วเด็กเก่งแค่ไหนจึงเรียกว่าเป็น Gifted child

เด็กกลุ่มนี้มีการเรียนรู้ที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป เกิดจากความจำกัดด้านสติปัญญา ประสาทสัมผัส ร่างกาย ซึ่งหากเข้าเรียนในกลุ่มธรรมดา วิธีการสอน การวัดผลแบบเดียวกันเขาจะรับไม่ได้ เขาจึงมีความต้องการพิเศษ ถ้าได้รับการศึกษาอย่างถูกต้อง เขาก็จะเรียนรู้ได้ดี

หากค้นพบว่าลูกเป็น Gifted child พ่อแม่ควรทำอย่างไรคะ

พ่อแแม่ต้องพาลูกไปทดสอบกับนักจิตวิทยา ครู และแพทย์เพื่อทำการวัดแววของเด็ก จากนั้นจึงส่งเสริมให้ถูกต้อง ปัจจุบันมีการเรียนร่วมระหว่างเด็กพิเศษกับเด็กปกติ เพราะเราพบว่าการแยกเด็กในระยะยาวไม่ดี เพราะเมื่อเด็กโตขึ้น เขาอาจจะไม่สนใจเด็กที่ด้อยกว่าได้ พ่อแม่จึงเป็นคนสำคัญที่ต้องหาวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม เช่น การพาลูกไปแหล่งเรียนรู้ หาหนังสือ อุปกรณ์การเรียนรู้ในเรื่องที่เขาสนใจมาให้ลูกได้ศึกษาต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่พบว่าลูกของตนเองมีความเก่งแล้ว อย่าลืมปลูกฝังเรื่องคุณธรรม ศีลธรรมให้แก่ลูกด้วยนะคะ เพราะหากเก่งเพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ลูกสามารถเติบโตเป็นเด็กที่เก่ง ดี และมีความสุขได้ค่ะ
ที่มา  https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=1074&sub_id=2&ref_main_id=2

อัพเดทล่าสุด