เครือข่ายพ่อแม่ เครือข่ายสมองลูก


826 ผู้ชม


ทุกวันนี้ใครๆ ก็ลุ่มหลงกับเครือข่ายสังคมทางอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Social Network กันทั้งนั้น ใครไม่รู้จัก Social Media ประเภท facebook, twitter, Hi5 หรือแม้แต่ chat room ทั้งหลาย         ทุกวันนี้ใครๆ ก็ลุ่มหลงกับเครือข่ายสังคมทางอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Social Network กันทั้งนั้น ใครไม่รู้จัก Social Media ประเภท facebook, twitter, Hi5 หรือแม้แต่ chat room ทั้งหลาย 

ดูออกจะเชย และมีสิทธิ์โดนดูหมิ่นดูแคลนเอาง่ายๆ

 

บางคนลุ่มหลงถึงขนาดว่าจะไปกินข้าวนอกบ้าน ยังต้องถามใน facebook เพื่อขอความเห็นจากบรรดาเครือข่ายว่าควรจะไปกินที่ไหนดี

 

เครือข่ายสังคมเสมือนจริง (Virtual Social Network) กำลังมาแรง แถมหลายคนคิดว่ามันเป็นของจริง มันสามารถทดแทนเครือข่ายทางสังคมแบบเดิมๆ หรือแบบที่เราพบปะเห็นหน้าค่าตากันได้ และคิดว่ามันจำเป็นสำหรับชีวิตของเรา

 

จึงเกิดคำถามว่ามันสามารถ “สร้างเครือข่ายทางสังคมที่มีคุณภาพ” ให้เราได้จริงหรือ จะเกิดอะไรขึ้น หากสังคมของเราในอนาคตจะเชื่อมต่อกันด้วยวิธีเพียงแค่การใช้เครือข่ายเสมือนจริงอย่างนี้ ไม่มีการไปมาหาสู่กัน ไม่ได้เห็นหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขหรือทุกข์ของเพื่อน ไม่สามารถบีบมือแสดงความยินดีกับเพื่อน หรือโอบกอดเพื่อปลอบประโลมเพื่อนให้คลายทุกข์

เรากำลังใช้ประโยชน์จากเครือข่ายเสมือนจริงเหล่านี้เกินความสามารถของมันหรือเปล่า คำถามเหล่านี้ น่าคิดครับ

 

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครจะขอให้เป็นสมาชิก facebook หรือ social Media ประเภทใดๆ ก็ตาม ผมไม่เคยตอบตกลง และไม่คิดว่ามันจะสามารถทดแทนการสร้างและรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคลในแบบเดิมๆ ได้

 

สำหรับผม มันเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง มันไม่สามารถที่จะทดแทนเครือข่ายทางสังคมแบบของจริงได้

 

และแม้จะเป็นเครื่องมือสื่อสาร ก็ใช่ว่ามันจะทำงานได้สมบูรณ์ในทุกสถานการณ์ บางครั้งคนเราก็ต้องการสื่ออะไรที่มีความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน ซึ่ง Social Media ก็อาจใช้ไม่ได้

 

การสร้างเครือข่ายทางสังคมของมนุษย์ การสร้างความเป็นเพื่อนระหว่างกันของมนุษย์ ต้องการมากกว่าการเขียนข้อความเพียงไม่กี่บรรทัดเพื่อบอกความเป็นไป มุมมอง หรือจุดยืนของตนเองให้ผู้อื่นได้รับรู้

 

มีคนตั้งคำถามว่า การมี Internet การมี Social Media ทำให้มนุษย์รักกันมากขึ้น ใกล้ชิดกันมากขึ้นจริงหรือ

คำตอบก็คือ มันทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกมากขึ้น รู้จักกันได้เยอะขึ้น ไวขึ้น แต่เป็นความรู้จักที่ฉาบฉวย ขาดความลึกซึ้ง ขาดทักษะในการรักษาและพัฒนาสัมพันธภาพ และมีโอกาสที่มันจะทำให้เรากลายเป็น “คนมีเพื่อนเยอะผู้โดดเดี่ยว” เพราะเรารู้จักและคบหากับคนจำนวนมากบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น

 

มิตรภาพแบบนี้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอยู่ของเราในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ยุคที่ต้องการความร่วมไม้ร่วมมือ ความเห็นอกเห็นใจ ความปรองดองมากกว่า ต้องการทักษะในการรักษา และการพัฒนาสัมพันธภาพที่ซับซ้อนมากกว่าเดิม

และลูกหลานของเราก็ยิ่งจำเป็นจะต้องมีทักษะดังที่กล่าวมากกว่า เพราะโลกอนาคตของพวกเขาจะยิ่งซับซ้อนมากกว่าโลกในยุคของเรา

 

ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของเซลล์กระจกเงา ความรู้เกี่ยวกับการเกิดวงจรเซลล์สมองในสมองของเรา ทำให้เรารู้ว่าความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความปรองดอง ความร่วมไม้ร่วมมือกับผู้อื่น ความสามารถในการสร้างและแก้ไขปัญหาด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคล เกิดขึ้นได้จากการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ (Imitative Learning) และการลองผิดลองถูก (Learning by Doing)

 

นั่นแปลว่าลูกหลานของเราจะต้องได้เห็นต้นแบบในการสร้างสัมพันธภาพของเรากับผู้อื่น นั่นแปลว่าลูกหลานของเราจะต้องได้มีโอกาส “ฝึกปฏิบัติ” เพื่อการสร้าง และแก้ปัญหาสัมพันธภาพ ตลอดจนสั่งสมทักษะและประสบการณ์ในการสร้างเครือข่ายทางสังคมของเขาเอง

 

สิ่งเหล่านี้จะติดตัวเขาไป และเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตของเขาในอนาคต Internet หรือ Social Media ไม่สามารถให้โอกาส หรือเป็นแบบอย่างให้แก่ลูกหลานของเราได้อย่างแน่นอน

 

การสร้างเครือข่ายทางสังคมที่เป็นจริง ที่สามารถพบปะพูดจากันได้ ที่สามารถจับต้องสัมผัสได้จริงๆ ของเรา จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีเพื่อนที่อาศัยไหว้วานช่วยเหลือกันได้จริงๆ เท่านั้น หากแต่ยังเป็นบทเรียนให้ลูกหลานของเราได้สัมผัส ลอกเลียน และสั่งสมเป็นประสบการณ์ได้อีกด้วย

 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร มันเป็นธรรมชาติของสังคมไทยอยู่แล้ว สังคมของเราเป็นสังคมที่นับถือเครือญาติ ถึงไม่ใช่ญาติพอคบหาสนิทสนมกันนานเข้าก็นับถือกันเป็นลุงป้าน้าอากันได้ อาจจะมีช่วงหลังที่เราให้ความสำคัญกับสิ่งนี้น้อยลง แถมยังมีสื่ออื่นเข้ามาแทรก เราเลยละทิ้งค่านิยมที่ดีงามอันนี้ไป แต่มันก็สามารถพลิกฟื้นกลับขึ้นมาได้

 

ถ้าไม่อยากให้ลูกเติบโตเป็น “คนมีเพื่อนเยอะผู้โดดเดี่ยว” สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ การมีเพื่อนเยอะๆ การเปิดโอกาสให้ลูกของเราได้พบปะสังสรรค์กับครอบครัวเพื่อนๆ ของเรา และจะต้องไม่ลืมว่า Internet หรือ Social Media ไม่ใช่คำตอบสำหรับการสร้างเครือข่ายทางสังคมที่มีคุณภาพสำหรับเราและลูกของเรา

 

เครือข่าย (ทางสังคม) ของพ่อแม่นั่นแหละ คือสิ่งที่จะช่วยสร้างเครือข่าย (ทางสังคม) ให้กับลูกในอนาคต
ที่มา  https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=872&sub_id=2&ref_main_id=2

อัพเดทล่าสุด