คบเพื่อนแบบนี้..ดีหรือเสี่ยง?


663 ผู้ชม


พ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นที่รักครับ ลองนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปตอนวัยรุ่น แล้วตอบหน่อยสิว่า ใครคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณในตอนนั้น         พ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นที่รักครับ ลองนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปตอนวัยรุ่น แล้วตอบหน่อยสิว่า ใครคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณในตอนนั้น

ควรเข้าใจอาการติเพื่อนของลูก...เพราะคุณเองก็เคยเป็น


พ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นที่รักครับ ลองนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปตอนวัยรุ่น แล้วตอบหน่อยสิว่า ใครคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณในตอนนั้น
*ใช่แล้วครับ เพื่อน..(โปรดอ่านแบบเสียงแอ็คโค่ เพื่ออรรถรส) นั่นเอง
*สำหรับวัยรุ่น เพื่อน คือคนสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตพวกเขาครับ ไม่ใช่เพียงเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเพื่อนเท่านั้น แต่เพื่อนยังมีอิทธิพลกับวัยรุ่นหลายอย่าง เช่น พฤติกรรม การแต่งตัว การตัดสินใจ ตลอดจนความรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองด้วย
* ผู้มีประสบการณ์ทั้งหลายยังเคยพูดไว้ "อย่าประเมินค่าความสำคัญของเพื่อนสำหรับวัยรุ่นต่ำเกินไป" แน่นอนว่า พ่อแม่ที่แม้จะประคบประหงม ฟูมฟัก รักใคร่กันมายังไง ก็ไม่มีทางแย่งตำแหน่งนัมเบอร์วันไปจากเพื่อนๆของเขาได้ ต้องทำใจสถานเดียวละครับงานนี้
เมื่อเพื่อนมีความสำคัญกับลูกมากปานฉะนี้ พ่อแม่หลายคนเลยเกิดอาการเป็นห่วงขึ้นมาจับใจ และความเป็นห่วงนี่แหละ ที่ทำให้หลายต่อหลายครั้ง พ่อแม่มีปัญหากับการคบเพื่อนของลูก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นในทำนองไม่ชอบ ไม่ถูกใจเพื่อนที่ลูกคบ

พ่อแม่มืออาชีพแนะว่า โดยปกติแล้ว พ่อแม่ควรทำตัวเป็นมิตรและสนิทสนมกับเพื่อนลูกครับ อาจชวนมาทำกิจกรรมที่บ้าน ชวนมาทานข้าวเย็น หรือชวนไปเที่ยวด้วยกัน นอกจากจะทำให้ลูกประทับใจในท่าทีที่พ่อแม่แสดงต่อเพื่อนของเขาแล้ว พ่อแม่ยังอาจได้รับรู้ข้อมูลที่มีประโยชน์จากปากเพื่อนลูกด้วย
แม่คนหนึ่งเล่าว่า เดี๋ยวนี้เวลาเพื่อนลูกมาที่บ้าน จะคุยกับแม่มากกว่าลูกเสียอีก การสนินสนมกับเพื่อนๆ ของลูกนี้จะเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกวัยรุ่นให้เขึ้นครับ ทำให้เขารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นพวกเดียวกัน
ที่สำคัญ พ่อแม่ไม่ควรเริ่มต้นมองเพื่อนลูกอย่างจับผิด อย่างน้อยก็ควรเชื่อมั่นในตัวลูกว่า เขาน่าจะฉลาดพอที่จะเลือกคบเพื่อนที่ดี เว้นเสียแต่เห็นว่าสุด..สุดจริงๆ ขืนปล่อยให้คบไป พาลูกไปเสียผู้เสียคนแน่ อ่างนี้คงต้องจัดการครับ
แต่สิ่งที่ต้องระวังก้คือ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินและประเมินค่าเพื่อนของลูก เพียงแค่การแต่งตัว ทรงผม หรือบุคลิกภายนอก เพราะความจริงแล้ว เพื่อนของลูกอาจมีสิ่งดีๆ อยู่ภายใต้ท่าทีที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของพ่อแม่ (ซึ่งอาจล้าสมัยเกินไปแล้ว)
วันก่อน คุณแม่ของตุ้ม สาวน้อยวัย 15 มาบ่นให้ฟังเรื่องเพื่อนสนิทคนล่าสุดของลูก ที่แม่ทำใจให้ชอบเอาไม่ได้เสียเลย ก็เจ้าหล่อนทั้งเจาะลิ้น เจาะจมูก แถมมีประวัติโดนเชิญออกจากโรงเรียนมา 2 ครั้งซ้อน ตั้งแต่คบกับเพื่อนคนนี้ พฤติกรรมของตุ้มเปลี่ยนไปหลายอย่าง เช่น กลับบ้านผิดเวลาบ่อยๆ ใช้เงินเปลืองขึ้นจนผิดสังเกต แถมไม่ค่อยคุยกับพ่อแม่พี่น้องเหมือนก่อน กลับถึงบ้านก็ปิดประตูเข้าห้องลูกเดียว แม่กลุ้มใจไม่รู้จะจัดการยังไง ครั้นจะใช้วิธียื่นคำขาด ก็กลัวลูกจะยิ่งเตลิด
แม่ของตุ้มคิดถูกและทำถูกต้องแล้วละครับ ที่ไม่ใช้วิธีชนตรงๆ เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังยิ่งจะก่อให้เกิดการต่อต้าน ซึ่งพ่อแม่จะเอาชนะไม่ได้ง่ายๆเสียด้วย
คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่มีปัญหาทำนองเดียวกันนี้ คือควรหาวิธีการแสดงให้ลูกเห็นเป็นนัยๆว่า พ่อแม่ไม่ชอบเพื่อนลูกคนนี้เท่าไร เช่น ถ้าลูกขอไปไหนมาไหนกับเพื่อนคนอื่น พ่อแม่อนุญาตไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเพื่อนคนนี้ พ่อแม่เป็นต้องมีเหตุผลที่จะปฏิเสธต่างๆนานาทุกครั้ง
นอกจากนั้น แทนที่จะพูดถึงข้อเสียของเพื่อนลูกที่พ่อแม่ไม่ชอบ เปลี่ยนเป็นพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลง หรือสิ่งดีๆ ที่พ่อแม่รู้สึกว่าหายไปจากตัวลูก เช่น การเรียนตกลง กลับบ้านผิดเวลา ไม่มีความรับผิดชอบเหมือนแต่ก่อน ฯลฯ ด้วยท่าทีที่ห่วงใย ไม่ใช่จับผิด
ที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ก็ประโยคพวกนี้ครับ
"เลิกคบซะที เพื่อนคนนี้น่ะ"
"แม่ไม่ชอบเพื่อนที่ลูกพามาวันนี้เลย ดูยังกับพวกนักเลง"
"สนิทสนมเข้าไปได้ไง้..เพื่อนแบบนี้"
"อย่าให้รู้ว่ายังคบเพื่อนพวกนี้อยู่อีกนะ"
คุณพ่อคนหนึ่งเคยพูดเปรียบเทียบในวงสัมมนาไว้อย่างน่าคิดว่า
"ยิ่งพ่อแม่ใช้คำสั่ง หรือยื่นคำขาดห้ามไม่ให้ลูกวัยรุ่นคบเพื่อนคนนั้นคนนี้ เขาจะยิ่งกดส้นเท้าให้จม และกางปีกปกป้องเพื่อนของเขา เพื่อแสดงให้พ่อแม่เห็นว่าเขาไม่ใช่เด็ก เขาคิดเองเป็น และมีอิสระ

"แม้จริงๆแล้ว เขาอาจจะรู้ว่าพ่อแม่พูดถูกก็ตาม"

ที่มา  https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=857&sub_id=3&ref_main_id=2

อัพเดทล่าสุด