แม้ความรักใคร่และเพศสัมพันธ์จะเป็นเรื่องของธรรมชาติพื้นฐานที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ แต่ทุกท่านคงยอมรับว่าการหยิบยกเรื่องธรรมชาติเช่นนี้ มาสั่งสอนลูกเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่ง
สอนให้ลูกอิ่มกาย มีนิสัยการกินที่ดีนั้น...ง่ายหนักหนา
ภ
สอนให้ลูกนอนหลับเป็นเวลา...น่าสนใจทุ่มเท
ภ
สอนให้ลูกฝึกขับถ่าย...แม้จะยากยุ่งปนเลอะเทอะ แต่ก็ท้าทาย
ภ
ทว่า...การสอนให้ลูกรู้จักความรัก...ความใคร่...และการสืบพันธุ์...นี่แหละเป็นโจทย์สุดยากของพ่อแม่ทุกคนภด้วยความยากเย็นนี้ พ่อแม่หลายคนจึงพยายามหลีกเลี่ยง อาจด้วยการใช้ท่าทีละเลย มองข้าม ไม่ใส่ใจ อิดเอื้อน บ่ายเบี่ยง หรือแม้แต่ เฉไฉไปดุว่าตำหนิเมื่อลูกเอ่ยปากถึงเรื่องเหล่านี้
ภ
พร้อมกันนั้น พ่อแม่บางท่าน ก็อาจแอบปลอบใจตัวเองไปพลาง ๆ ว่า... ถึงเวลา...ลูกก็รู้เอง...ก็เราเอง...ยังผ่านกระบวนการ “รู้เอง” อย่างนี้มาแล้วนี่นาคงด้วยเหตุผลและค่านิยมบ่มเพาะในใจพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นเช่นนี้ ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์แต่ละวันจึงสะท้อนความดุเดือดของปัญหาทางเพศในวัยรุ่นที่รุนแรงขึ้นทุกที เฉกเช่นกับที่ปัญหานี้ได้กดดันต่อสถานศึกษาในกลุ่มผู้เรียนที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ
ภ
จากเรื่องที่เราเคยห่วงใยปัญหาเพศสัมพันธ์ในนักศึกษามหาวิทยาลัย ปัญหาทางเพศขยับลงมาเป็นเรื่องน่าตกใจของโรงเรียนอาชีวะและนักศึกษาระดับอนุปริญญาไล่ละเรื่อยลงมา...ล่าสุด...
ภ
นักเรียนมัธยมตอนต้น หรือแม้แต่เด็กประถมปลายก็เริ่มมีโจทย์เพศศึกษาและกรณีปัญหาเพศสัมพันธ์มาให้ผู้ใหญ่ได้ปวดขมับกันแล้วเราคงรอไม่ได้อีกต่อไปและ “เรา” ...ที่จะต้องรีบเร่งแก้ไขปัญหานี้ก่อนใคร ๆ คงหนีไม่พ้นคุณพ่อคุณแม่อยู่ดีภเพราะ...ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้สร้างเกราะป้องกันภัยทางเพศในฐานะครูสอนเพศศึกษาที่ดีที่สุดของเด็ก ก็คือ พ่อแม่...นั่นเองภแต่งานวิจัยยังพบสม่ำเสมอว่า เด็กไทยได้รับความรู้เรื่องนี้จากพ่อแม่น้อยนิด
ภ
โดยสาเหตุสำคัญที่ขัดขวางพ่อแม่ไว้ คือความไม่สะดวกใจกับการทำหน้าที่นี้ด้วยข้อจำกัดว่า...ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดกันอย่างไรดี
คุณพ่อคุณแม่คะ...
ภ
ภ
เพศศึกษาควรได้รับการถ่ายทอดสั่งสมตั้งแต่หนูน้อยยังเยาว์วัย
ลูกรักควรได้เรียนรู้พื้นฐานความแตกต่างของเพศ บทบาททางเพศการดูแลสุขอนามัยเรื่องเพศ จนกระทั่งถึงการป้องกันภัยทางเพศ ไล่เรียงสั่งสอนกันอย่างเป็นธรรมชาติให้สอดคล้องกับวัย ในบรรยากาศอบอุ่นของครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อมีตัวอย่างต่าง ๆ ปรากฏในชีวิตประจำวัน หรือผ่านการถ่ายทอดบอกเล่าด้วยท่าทีเปิดเผย รับฟังภการเรียนรู้เช่นนี้ ควรเกิดขึ้นอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตั้งแต่ระดับชั้นประถมต้น
ภ
เมื่อพ่อหนูแม่หนูรู้เรื่องภัยทางเพศแล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเชื่อมโยงไปพูดคุยให้ความรู้ในประเด็นเพศสัมพันธ์ต่อไป
แต่หากพ่อแม่ไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุยปูทางกันเช่นนี้มาก่อนจนกระทั่งลูกเติบโตเข้าสู่วัยพรีทีนจนถึงวัยรุ่นภช่วงนี้คงเป็นโค้งสุดท้ายสำหรับการพูดคุยกันในเรื่องเพศศึกษาที่พ่อแม่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไป
ภ
โดยเฉพาะ หากพ่อแม่พบว่าท่าทีหรือพฤติกรรมบางอย่างของลูกได้สะท้อนถึงความสนใจและความเกี่ยวข้องทางเพศ
เด็กบางคนอาจเริ่มสนใจเมียงมองภาพโป๊หรือบทพิศวาสจากสื่อต่าง ๆ รอบตัวบางคนอาจเริ่มมีพฤติกรรมทางเพศตามธรรมชาติ (ที่อาจเร็วและน่าตกใจจนดูผิดธรรมชาติ ไปบ้างในมุมมองของพ่อแม่) เช่น สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง แอบดูพี่น้องอาบน้ำ วาดรูปสรีระโป๊เปลือย ฯลฯ
ภ
เมื่อเผอิญไปจ๊ะเอ๋กับเหตุการณ์เหล่านี้เข้า อย่าได้บุ่มบ่ามเข้าไปตลุยต่อว่าแล้วเรียกพฤติกรรมนั้นว่าเป็นการสั่งสอนนะคะ
ใจเย็นค่ะ...สถานการณ์นั้นอาจเป็นสัญญาณสะท้อนการที่เราต้องรุกสอนลูกในเรื่องเพศก็จริง แต่ไม่ต้องรีบร้อนทำกันในสภาพเห็นหลักฐานกันจะแจ้งขนาดนั้นก็ได้
ภ
เพราะการหุนหันเข้าไปพูดคุยในเวลานั้น มักทำให้ลูกรู้สึกอับอายขายหน้า หงุดหงิด หรือพาลโกรธจนไม่ยอมรับฟังอะไรเลย
จะอย่างไรก็ตาม เด็กปกติทุกคนก็ยังมักจะรู้สึกว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องส่วนตัวในระดับหนึ่ง อย่างน้อย ก็ควรมีขอบเขตช่องว่างกั้นแบ่งระหว่างตนเองกับพ่อแม่สักระยะหนึ่ง
ภ
การเข้าไปประชิดตัว เผชิญหน้าสั่งสอนกันเป็นฉากเป็นตอนมักทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดกรณีเช่นนี้ พ่อแม่พึงวางตนอยู่ในอุเบกขา...คือ วางเฉย...ไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ไม่ละเลย ต่อหน้าที่หาจังหวะที่ไม่ใช่ขณะลูกกำลังมี “กิจกรรมส่วนตัว” เหล่านั้นทำหน้าที่ให้ความรู้เพศศึกษาพูดคุยกับลูก
ภ
แน่นอน...เราต้องเลือกช่วงเวลาที่บรรยากาศดี ๆ ในการเปิดการสนทนาอาจหยิบเอาข่าวคราวภาวะการณ์ทางเพศรอบตัวหรือจากสื่อมวลชนจากพฤติกรรมผู้คนรอบข้างเป็นตัวเปิดประเด็นข้อสำคัญที่ต้องจดจำเสมอ คือ อย่าตั้งหน้าตั้งตา สอน...สอน...สอน...
ภ
การรีบพร่ำบอกสอนสั่งด้วยการพูดมากเป็นชุด จะทำให้เราหมดโอกาสได้รู้สิ่งที่อยู่ในใจลูก หรือปิดกั้นการที่ลูกจะแสดงค่านิยม เจตคติ หรือที่มาของความรู้ทางเพศของตนพ่อแม่ที่ฉลาดสอน จึงควรเน้นการตั้งคำถามอย่างสร้างสรรค์ เช่น...
ภ
“โอ้โฮ... เอแบคโพล์บอกว่าเด็ก ๆ มีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น ...ลูกรู้มั้ยว่าเพศสัมพันธ์ หมายถึงอะไร...”
ภ
“ลูกรู้เรื่องนี้จากใครบ้างจ๊ะ...”
ภ
“ลูกคิดยังไง...”
ภ
ฯลฯ
ภ
ภ
จากนั้น ก็เริ่มแลกเปลี่ยน พูดคุย บอกเล่ากันไปเรื่อย ๆภเนื้อหาที่พูดคุยกัน ควรรวมความถึงธรรมชาติของอารมณ์ทางเพศที่จะเกิดขึ้น การดูแลสรีระและอารมณ์ให้แสดงออกอย่างถูกกาลเทศะ การหลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยงซึ่งอาจเร้าอารมณ์เพศ การป้องกันเพศสัมพันธ์เมื่อไม่พร้อม การตั้งครรภ์ การติดโรค และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งหลายทั้งปวงภโอ้โฮ...ต้องสอนสั่งพูดคุยกันมากมายขนาดนี้ คงไม่ได้หมายความว่าคุณพ่อคุณแม่ จะต้องรวบรวมสาระวิชามาเล็คเช่อร์ชุดใหญ่ในคราวเดียวหรอกนะคะ
ภ
เรื่องราวพวกนี้ ควรถูกค่อย ๆ ทยอยหยิบยกมาบอกเล่ากันไปเรื่อย ๆ วันละเล็กวันละน้อยตามโอกาสที่เหมาะสม ที่สำคัญ คือ ขณะบอกเล่าสาระ เราควรสร้างโอกาสระหว่างการสนทนาให้ลูก ฝึกวิเคราะห์หรือแก้ปัญหาสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ ควรหาจังหวะปิดท้ายบทสนทนาด้วยการปลูกฝังค่านิยมทางเพศแก่ลูกรัก พร้อมสร้างความมั่นใจให้ลูกรับรู้เสมอว่า ทุกคำถามจากลูกจะมีการตอบสนองที่ดีจากพ่อแม่ อ้อมอกนี้มีความรักและความปรารถนาดีที่จะส่งเสริมพัฒนาการของลูกในทุกเรื่องโดยไม่เว้นแม้แต่เรื่องราวเร้นลับของเพศศึกษา
ภ
เติมเต็มความรักความใกล้ชิดในครอบครัว แล้วติดอาวุธทางปัญญาสำหรับลูกให้พร้อมเถอะนะคะ ศึกโลกีย์และปัญหาทางเพศสำหรับวัยรุ่นในวันนี้ น่ากลัวจริง ๆ
ที่มา https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=727&sub_id=3&ref_main_id=2