คุณแม่คนใหม่ หัวใจต้องเต็มร้อย


860 ผู้ชม


ชีวิตคุณแม่ตั้งครรภ์ใช่ว่าจะมีแต่สีชมพูหวานใส บางทีก็มีสีเทาๆ หม่นๆ มาปนเปื้อนบ้างเหมือนกัน ความรู้เท่าทันกับหัวใจที่เข้มแข็งจึงเป็นอาวุธสำคัญของ (ว่าที่) คุณแม่มือโปรทุกคน         ชีวิตคุณแม่ตั้งครรภ์ใช่ว่าจะมีแต่สีชมพูหวานใส บางทีก็มีสีเทาๆ หม่นๆ มาปนเปื้อนบ้างเหมือนกัน ความรู้เท่าทันกับหัวใจที่เข้มแข็งจึงเป็นอาวุธสำคัญของ (ว่าที่) คุณแม่มือโปรทุกคน 
รู้มั้ยคะ คำว่า Pregnant หรือ ตั้งครรภ์ ในภาษาจีนแปลว่า "ผู้หญิงที่มีความสุขซ่อนอยู่ภายในเรือนกายของเธอ"...พอได้ทราบความหมายเช่นนี้แล้ว ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอยากชวนคุณๆ มาเตรียมใจให้พร้อมเพื่อครรภ์คุณภาพและเพื่อความเป็นคุณแม่ (มือใหม่) ที่มีความสุขอย่างแท้จริงกันค่ะ "ไชโย! ท้องแล้ว" กับอีกด้านของข่าวดี ก่อนอื่น ลองมาดูคำถามของคุณแม่ตั้งครรภ์คนหนึ่งที่เขียนมาคุยกับคุณหมอของเราก่อนดีกว่า เพื่อยืนยันว่าการตั้งครรภ์มิได้มีแต่ภาพฝันอันสวยงามอบอุ่นเสมอไป เพราะความเครียดเป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร บางครั้งมันก็เปล่งรัศมีอันร้ายกาจของมันมาเกาะกุมหัวใจที่น่าจะมีแต่ความปลื้มปีติของเราได้เหมือนกัน คุณแม่ : คุณหมอคะ ดิฉันท้องได้ 6 สัปดาห์แล้ว แล้วจู่ๆเมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันก็เริ่มมีความรู้สึกเครียดและวิตกกังวลขึ้นมาอย่างมาก พยายามสงบจิตสงบใจเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ดิฉันกลัวเหลือเกินว่าจะกระทบกระเทือนถึงลูกในท้อง คุณหมอว่าดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ คุณหมอ : อันดับแรกสุด หมอแนะนำว่าคุณแม่ควรจะปรึกษาหมอสูติฯ ที่ดูแลครรภ์ให้ว่ากำลังมีความรู้สึกหรือมีอาการอย่างไร เพื่อให้ท่านได้วินิจฉัยในเบื้องต้นว่าสิ่งที่คุณแม่กำลังเผชิญอยู่นั้นเกิดจากโรคภัย (ทางใจ) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ หากคุณแม่แข็งแรงเป็นปกติดี ก็ขอให้คลายใจลงได้ เพราะความรู้สึกเครียดและวิตกกังวลในช่วงต้นๆ ของการตั้งครรภ์ถือเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นได้ และมักจะค่อยๆ หายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์ค่ะ สาเหตุของความรู้สึกดังกล่าว นอกจากจะเป็นเพราะระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงอย่างรวดเร็วแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าชีวิตของคุณกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในระดับที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง (ไม่ว่าคุณจะเตรียมตัวรับมือกับการตั้งครรภ์นั้นมาดีเพียงใด และไม่ว่าคุณจะตั้งครรภ์แบบเตรียมการไว้ก่อน หรือจับพลัดจับผลูตั้งครรภ์ก่อนจะตั้งใจก็ตาม) พอรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ปุ๊บ คุณแม่แทบทุกคน (หลังจากดีใจและตั้งสติได้แล้ว) จะเริ่มรู้สึกสับสน เครียดและกังวลใจว่าอนาคตของตนจะเป็นอย่างไร การตั้งครรภ์และชีวิตใหม่ ตัวน้อยๆ จะนำพาความเปลี่ยนแปลงอันใดมาสู่ชีวิตของตนบ้าง...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชีพ การงาน กับพันธกิจอีกมากมายในฐานะ "แม่" ของลูก...จวบจนกระทั่งการตั้งครรภ์ผ่านไปได้ระยะหนึ่ง และเมื่อคนอื่นๆ ที่อยู่รายล้อมชีวิตคุณ (นอกเหนือจากสามี) ได้ร่วมรับรู้ข่าวอันน่าดีใจนี้แล้ว คุณก็จะเริ่มรู้สึกเข้าที่เข้าทางและผ่อนคลายมากขึ้นค่ะ แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ หรือการคลอดบุตรละก็ หมอแนะนำให้หากลุ่มสนับสนุน (Support Group) หรือเครือข่ายแม่ตั้งครรภ์เพื่อเข้าร่วมในกิจกรรมหรือการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน ก็จะช่วยให้คุณสบายใจขึ้นได้ และไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนตั้งท้องภายใต้ความกดดันอยู่คนเดียว...และที่สำคัญอย่าลืมว่าคุณหมอสูติฯ ประจำตัวของคุณคือแหล่งข้อมูลใกล้ตัวที่สุด อีกแหล่งหนึ่งที่คุณจะปรึกษาหาทางออกจากความกังวลใจได้เสมอนะคะ แม่ตั้งครรภ์กับความกังวลใจ ได้เรียนรู้หนึ่งในประสบการณ์ทางใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ไปแล้ว ทีนี้ เราลองมาดูกันค่ะว่ามีเรื่องอะไรบ้างหนอที่จะทำให้แม่ท้อง (ที่น่าจะเบิกบานใจ) อย่างเรารู้สึกมู้ดดี้ มีปัญหาได้ * กลัวไปสารพัดว่าจะเกิดอันตรายใดๆ ขึ้นกับลูก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครรภ์ แรก) เช่น ฉันเดินมากไปหรือเปล่า กระเทือนอย่างนี้ลูกจะแท้งมั้ย เป็นต้น * ในกรณีที่เป็นครรภ์ที่ 2 ไปแล้ว คุณแม่มักกังวลใจว่าจะจัดการกับชีวิตอย่างไร ให้สมดุลทั้งกับลูกในครรภ์และลูกคนแรกที่ต่างต้องการการเอาใจใส่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน * กลัวการคลอด ไม่ว่าจะเป็นครรภ์แรกหรือครรภ์ต่อๆ มาก็ตาม * กังวลเรื่องสถานการณ์ทางการเงิน..กลัวว่าจะมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงลูกให้ ได้ดีหรือเปล่าหนอ * ไม่มั่นใจในสถานภาพความเป็นพ่อแม่ของตนเอง กลัวว่าจะเลี้ยงลูกได้ไม่ดี เท่าที่หวัง * กังวลใจเมื่อต้องเลือกระหว่างอาชีพการงานที่กำลังไปได้ดีกับการออกมาเป็น แม่บ้านเลี้ยงลูก * กลัวว่าสัมพันธภาพระหว่างตนเองกับสามีจะเปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่มีลูกแล้ว * ฯลฯ อีกนานาสารพัน ความกังวลใจทั้งหลายแหล่ตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนเรื่องใหญ่ การเปลี่ยนแปลงของ ระดับฮอร์โมนเพศในร่างกายที่ขึ้น-ลงแบบปรู๊ดปร๊าดสวิงสวาย รวมถึงความเปลี่ยนแปลง อย่างขนานใหญ่ในระบบความคิดและรูปแบบชีวิตที่แม่ตั้งครรภ์ต้องประสบ ล้วนเป็นที่มาของ อาการที่เรียกว่า "อารมณ์แปรปรวน" ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคุณแม่คน ใหม่ทุกคน (เคยใช่ไหมคะ ที่กำลังหัวเราะเริงร่าอยู่ดีๆ แล้วก็เกิดรู้สึกตื้นตันจนอยากร้อง ไห้ขึ้นมาซะเฉยๆ...อารมณ์แปรปรวนแบบนี้มักเป็นในช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้ง ครรภ์ และจะค่อยๆ หายไปเองในที่สุดค่ะ) สำคัญเพียงแต่ว่าถ้าไม่รู้เท่าทันและจัดการไม่ เป็น เจ้าอารมณ์แปรปรวนที่ว่าธรรมดาอาจจะขยายใหญ่จนกลายเป็นความเครียดและอารมณ์ เศร้าได้ในที่สุดค่ะ เตรียมแต่ตัวไม่ได้ ต้องเตรียมหัวใจด้วย อย่ากังวลไป (อีก) เลยค่ะ ปัญหามาปัญญามี ตั้งสติดีๆ แล้วมาเตรียมหัวใจให้แข็งแรงเต็มร้อยสำหรับบทบาท "แม่" ที่แม้จะหนักหน่วง แต่ก็เต็มไปด้วยท่วงทำนองแห่งความสุขกันเถอะ เรามีคำแนะนำที่ทำตามง่าย ได้ผล และไม่โฆษณาเกินจริงมาฝากกันค่ะ 1. คนเดียวใจหาย หลายคนใจสบาย ใครที่คิดว่าตอนตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยสบายหรือคล่องตัวนักในชีวิต คงต้องรีบทำความเข้าใจไว้ก่อนเลยว่า ช่วงเวลาหลังคลอดหมาดๆ ที่คุณและลูกน้อยเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลมาอยู่ที่บ้าน และเป็นระยะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็น "แม่" ที่แท้จริงนั้น (เพราะตอนนี้คุณมีลูกออกมาให้เห็นหน้าเป็นตัวเป็นตนแล้ว) ยิ่งชวนสับสน งุนงง และตึงเครียดมากกว่านัก..ใครที่อยู่ในสภาพครอบครัวเดี่ยวที่ไม่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือ ค้ำจุน ความรู้สึกที่ว่าก็จะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะมีความโดดเดี่ยวเข้ามาผสมโรงด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะว่า คุณแม่ทั้งหลายควรมีกลุ่มเพื่อนสนิทสัก 2-3 คนที่เคยมีประสบการณ์ในการตั้งครรภ์และมีลูกมาแล้วไว้เป็นเพื่อนคุย เพื่อนใจใกล้ชิดที่จะคอยติดต่อไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ไปจนถึงวันคลอด..วันหลังคลอดนั่นเทียว เพื่อนๆ เหล่านี้ล่ะค่ะที่จะคอยเป็นทั้งที่ปรึกษา ผู้ช่วยเหลือ และกำลังใจอันสำคัญสำหรับคุณในยามที่แม้แต่พ่อของลูกก็ยังต้องชิดซ้าย (เพราะมือใหม่ไม่น้อยหน้ากัน) หมั่นพูดคุย แลกเปลี่ยน ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆ เหล่านี้ไว้อย่าได้ขาดหาย จะเป็นการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ หรือจะนัดพบปะสังสรรค์กันเป็นครั้งคราวก็ได้ เพราะนอกจากจะได้เพื่อนคิด-เพื่อนคุยให้รู้สึกสดชื่นกระฉับกระเฉงแล้ว ในวันที่ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงเพราะความเป็น "แม่" คุณจะยังมีเพื่อนๆ คอยอยู่ใกล้ๆ เป็นกำลังใจร่วมยินดีกับคุณ และยังเป็นสื่อกลางช่วยเชื่อมโยงโลกใบเล็กที่มีเพียงคุณกับลูก (ก็สามีไปทำงานนี่คะ) เข้ากับโลกใบใหญ่ภายนอกที่หมุนไปอย่างเร่งร้อนได้ง่ายดายขึ้นอีกด้วย แล้วคุณจะรู้เองว่าถึงเป็นแม่เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านก็ก้าวทันโลกได้เหมือนกันนะ... 
ที่มา  https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=455&sub_id=1&ref_main_id=2

อัพเดทล่าสุด