มีความเชื่อมากมายที่คุณแม่หลังคลอดคงเคยได้ยินมา และหลายคนก็เคยลองปฏิบัติมาแล้ว แต่จะส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่หลังคลอดอย่างไร เช็กคำตอบได้เลยค่ะ
Check list
..... 1.ผ่าคลอดดีกว่าเพราะไม่เจ็บมาก และน้ำหนักลดเร็ว
..... 2.หลังคลอดแล้วคุณแม่อาจปวดแผลฝีเย็บนานเกิน 1 สัปดาห์
..... 3.หลังคลอดอาจจะมีอาการปวดมดลูกได้
..... 4.หลังคลอดต้องอยู่ไฟ ไม่เช่นนั้นจะหนาวใน และเกิดความผิดปกติอื่นๆ
..... 5.ห้ามกินของสแลง
..... 6.การกินยาขับน้ำคาวปลา จะช่วยขับน้ำคาวปลาออกมาให้หมด
..... 7.ถ้าน้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็นหรือมีสีผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์
..... 8.คุณแม่หลังคลอดไม่ควรอาบน้ำโดยการนอนแช่ในอ่าง
..... 9.หลังคลอดคุณแม่ไม่ควรเคลื่อนไหวมาก เพราะอาจทำให้แผลอักเสบได้
..... 10.คุณแม่หลังคลอดที่ให้นม ห้ามกินยาคุมกำเนิด
..... 11.หลังคลอดจะมีประจำเดือนครั้งแรกมากหรือน้อยกว่าที่เคย ถือว่าเป็นอาการปกติ
..... 12.ถ้ามีอาการท้องผูกหลังคลอดไม่ควรกินยาระบาย
...................................................................
เฉลย
1.ผ่าคลอดดีกว่าเพราะไม่เจ็บมาก และน้ำหนักลดเร็ว
ไม่จริง เพราะการคลอดปัจจุบันคุณแม่ไม่ได้คลอดตามยถากรรม มีการควบคุมการคลอดไม่ให้นานเกิน 8-10 ชม. เพื่อป้องกันไม่ให้มดลูกบีบรัดตัวนานเกินไป จนกระทั่งกล้ามเนื้อมดลูกอ่อนล้า พอถึงเวลาหลังคลอดแล้วก็เลยไม่หดตัว เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้
เพราะฉะนั้น เรื่องความกลัวว่าจะต้องเจ็บนานๆ ในระหว่างคลอด ในปัจจุบันก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะวิสัญญีแพทย์สามารถฉีดยาระงับปวดเข้าไปที่ไขสันหลัง (บล็อกหลัง) ซึ่งทำให้ไม่ปวดตลอดการคลอด ไปจนถึงขณะเย็บแผลที่ฝีเย็บเลยทีเดียว
การที่มองว่าการผ่าคลอดจะช่วยลดอาการเจ็บจึงไม่เป็นความจริง ที่สำคัญระยะหลังคลอด การผ่าคลอดกลับเจ็บมากกว่าค่ะ เพราะการผ่าคลอดทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังหน้าท้องซึ่งเจ็บมากกว่า ส่วนแผลที่ช่องคลอดเป็นแผลบริเวณเยื่อบุ เหมือนในกระพุ้งแก้มหรือในลิ้น ซึ่งจะมีเลือดมาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก การซ่อมแซมของแผลจึงหายเร็วกว่า และการเจ็บปวดก็จะน้อยกว่าค่ะ
ส่วนเรื่องการลดหุ่น วิธีการคลอดไม่ว่าจะคลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอด การลดน้ำหนักจะลดเองตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ตามขนาดมดลูกที่เล็กลง รวมทั้งการดูแลร่างกายและกิจกรรมหลังคลอด เช่น เลี้ยงลูกด้วยนมแม่หรือไม่ ควบคุมอาหารหรือไม่ รวมทั้งเรื่องการออกกำลังกายด้วยค่ะ
2.หลังคลอดแล้วคุณแม่อาจปวดแผลฝีเย็บนานเกิน 1 สัปดาห์
ไม่จริง เพราะแผลฝีเย็บบริเวณปากช่องคลอดเป็นแผลบริเวณเยื่อบุ ซึ่งจะมีเลือดมาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก ทำให้แผลหายเร็ว ประมาณ 3-5 วันแผลก็เริ่มติดกัน 5-7 วันแผลจะเริ่มหายสนิทดี อย่างมากที่สุดแผลจะหายสนิทเลยภายใน 2 สัปดาห์ค่ะ
อาการปวดแผลฝีเย็บจะเป็นอยู่ประมาณ 3-5 วันแรก แต่จะไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าปวดนานกว่า 1 สัปดาห์ อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น มีก้อนเลือดคั่งอยู่ใต้แผล แผลแยก หรือแผลติดเชื้อ เป็นต้น
การดูแลแผลก็แค่ทำความสะอาดในขณะอาบน้ำตามปกติ ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งที่ปัสสาวะหรืออุจจาระ เช็ดทำความสะอาดแผลด้วยน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เช็ดจากช่องคลอดไปทางทวารหนัก ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาอะไรเป็นพิเศษ อาบน้ำตามปกติวันละ 2 เวลาเท่านั้นค่ะ
3.หลังคลอดอาจมีอาการปวดมดลูกได้จริง เพราะภายหลังคลอดลูกจนกระทั่งเมื่อรกคลอดไปแล้ว มดลูกจะค่อยๆ หดรัดตัวเองเพื่อให้กลับมามีขนาดปกติ ในระหว่างที่มดลูกบีบตัวเพื่อให้หดตัวเล็กลง ก็จะทำให้เกิดอาการปวดที่มดลูกได้เป็นเรื่องปกติค่ะ
นอกจากนี้ ในระหว่างให้นมลูก จะมีการหลั่งฮอร์โมนออกซีโตซินซึ่งช่วยให้มดลูกหดตัวดีขึ้น และในขณะที่มดลูกหดตัว บีบตัว คุณแม่ก็จะมีอาการปวดที่มดลูกเป็นธรรมดา โดยจะสังเกตได้ว่าระหว่างที่คุณแม่ให้นมอยู่จะมีอาการปวดมดลูกเป็นพักๆ ซึ่งกลไกตามธรรมชาตินี้ถือเป็นเรื่องปกติและมีประโยชน์ค่ะ เพราะการบีบตัวของมดลูกนอกจากจะช่วยเรื่องการหดตัวของมดลูกแล้ว ยังช่วยขับน้ำคาวปลา และช่วยยับยั้งไม่ให้มีการตกเลือดหลังคลอดด้วย ดังนั้น ถ้าคุณแม่ปวดมดลูกก็ทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้ค่ะ
4.หลังคลอดต้องอยู่ไฟ ไม่เช่นนั้นจะหนาวในไม่จริง การอยู่ไฟเป็นกุศโลบายในสมัยก่อนที่จะช่วยให้คุณแม่ได้พัก ได้ดูแลตนเองและเลี้ยงดูลูกได้อย่างเต็มที่ เพราะต้องนอนอยู่เฉยๆ การอยู่ไฟมิได้ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวหลังคลอดได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด
ปัจจุบันคุณแม่ก็สามารถลาพักหลังคลอดเพื่อดูแลตนเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องอยู่ไฟก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าคิดว่าอยู่แล้วสบายใจ และไม่เดือดร้อนกับค่าใช้จ่าย ก็สามารถอยู่ได้ตามความสะดวกค่ะ ส่วนความเชื่อเรื่องหนาวในไม่เป็นความจริง เหตุที่หลังคลอดแล้วมีอาการหนาว เป็นเพราะการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีสูงในระหว่างตั้งครรภ์ พอคลอดแล้วฮอร์โมนลดลงก็จะมีอาการหนาว และร้อนวูบวาบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ไฟหรือไม่ก็ตาม (และความรู้สึกนี้ก็จะเกิดอีกครั้งกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เพราะขาดเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน เนื่องจากรังไข่หยุดทำงานนั่นเอง)
5.ห้ามกินของสแลง ไม่จริง เพราะไม่มีของสแลง มีแต่ห้ามกินของที่กินแล้วเป็นโทษต่อร่างกาย เช่น แอลกอฮอล์ ยาดอง ฯลฯ ซึ่งแม้ไม่ได้ท้องก็ไม่ควรกินอยู่แล้วเพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพค่ะ
6.การกินยาขับน้ำคาวปลาจะช่วยขับน้ำคาวปลาออกมาให้หมด ไม่จริง เพราะน้ำคาวปลา คือเศษเนื้อเยื่อ เศษชิ้นส่วนต่างๆ เมือกต่างๆ ที่ปกคลุมบริเวณโพรงมดลูก หลังจากรกได้ลอกตัวออกไปแล้ว เยื่อบุเหล่านี้จะถูกขับออกมาโดยการบีบรัดตัวของมดลูกหลังคลอด และจะค่อยๆ หมดไปภายใน 6-8 สัปดาห์ โดยไม่ต้องทำอะไร
สิ่งที่จะช่วยให้เกิดการขับน้ำคาวปลาได้ดี คือการขยับตัวให้เร็ว เช่น ถ้าคลอดปกติ ก็ควรขยับตัวให้ได้ภายใน 24 ชม. การเคลื่อนไหว การขยับตัวได้เร็วจะช่วยทำให้น้ำคาวปลาไหลได้สะดวกยิ่งขึ้น
หากผ่าคลอด หลังจากคลอดลูกและคลอดรกแล้ว คุณหมอจะพันผ้าก็อซที่นิ้วมือแล้วเช็ดทำความสะอาดมดลูก เพื่อให้มั่นใจว่าได้กวาดเอาชิ้นส่วนของรกออกมาให้หมด ไม่ให้มีเหลือตกค้างอยู่ ซึ่งเป็นการช่วยให้เยื่อบุหรือน้ำคาวปลาส่วนใหญ่หลุดลอกออกไปตั้งแต่เสร็จสิ้นการผ่าตัดแล้ว
ดังนั้น หลังผ่าตัดหลังคลอดจะสังเกตได้ว่าน้ำคาวปลาหมดเร็วกว่า ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และไม่มีความจำเป็นต้องกินยาใดๆ เพื่อไปขับน้ำคาวปลาอีกค่ะ
7.น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็นหรือมีสีผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ จริง เพราะปกติน้ำคาวปลาในช่วง 2-3 วันแรก ส่วนประกอบหลักคือเศษเซลล์ที่ลอกออกมาจากโพรงมดลูก ซึ่งประกอบด้วยเม็ดเลือดเป็นส่วนใหญ่ จึงมีสีออกแดงๆ ใน 3 วันแรก ช่วงวันที่ 4-10 สีแดงจะค่อยๆ จางลง เพราะเศษเลือดจะน้อยลงไปตามลำดับ หลังจากวันที่ 10 ไปจนถึงน้ำคาวปลาหมด จะเป็นลักษณะใสขึ้นและมีสีเหลืองจางๆ บนขาวๆ ไปอีกระยะหนึ่ง หากไม่เป็นไปตามนี้ เช่น ยังมีสีแดงมากๆ ยังมีเลือดสดๆ อยู่ อาจเป็นภาวะของการตกเลือดหลังคลอด ส่วนกลิ่นก็จะคาวนิดหน่อย แต่ถ้าเหม็นมากผิดปกติ ประกอบกับลักษณะของสีที่ผิดปกติ เช่น แดงมากๆ คือ ตกเลือด หากมีสีเขียว สีเหลือง มีกลิ่นเหม็นรุนแรง นั่นหมายถึงการติดเชื้อ เพราะฉะนั้นหากมีเลือดออก หรือเกิดการติดเชื้อต้องไปพบคุณหมอทันทีค่ะ
8.คุณแม่หลังคลอดไม่ควรอาบน้ำโดยการนอนแช่ในอ่าง จริง เพราะการอาบน้ำที่แนะนำในช่วงหลังคลอด คืออาบน้ำวันละ 2 เวลา ทำความสะอาดบริเวณฝีเย็บทุกครั้งที่มีการอุจจาระหรือปัสสาวะ ถ้าเป็นแผลบริเวณผ่าตัดคลอดก็ต้องล้างแผลตามกำหนด หรืออาจใช้วัสดุกันน้ำปิดไว้ที่แผล เหตุที่ไม่ควรนอนแช่ในอ่างอาบน้ำ เพราะมดลูกที่อยู่ข้างในช่องท้อง ต่อกับภายนอกผ่านทางปากมดลูก โดยปกติแล้วปากมดลูกจะปิดสนิทซึ่งจะเป็นตัวยับยั้งไม่ให้เชื้อโรคผ่านเข้าไปทำอันตรายในร่างกายได้ แต่หลังคลอดปากมดลูกจะเปิดเพื่อระบายน้ำคาวปลาออก เพราะฉะนั้นก็จะมีเชื้อโรคบางส่วนเข้าไปเจริญเติบโตได้เช่นกัน ดังนั้น หากคุณแม่นอนแช่น้ำ ซึ่งน้ำก็ไม่ได้สะอาดหมดเพราะในอ่างอาบน้ำก็มีคราบแบคทีเรียเกาะอยู่ ก็จะยิ่งทำให้เชื้อโรคผ่านเข้าไปได้ง่ายขึ้นค่ะ
นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยโดยการนำอุปกรณ์ไปเพาะเชื้อทั้งบริเวณในโพรงมดลูกและในช่องคลอด ในช่วงที่มีน้ำคาวปลา ไม่ว่าจะเพาะตรงไหน จะพบแบคทีเรียเสมอ ซึ่งก็หมายความว่าน้ำคาวปลาทั่วๆ ไปย่อมมีความสกปรกอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปแช่น้ำ นอกจากพวกแบคทีเรียที่จะไหลเข้าไปในโพรงมดลูก ความสกปรกที่ไหลออกมาจากน้ำคาวปลาก็จะลอยอยู่ในน้ำ ก็ยิ่งไปปนเปื้อนตามผิวหนังได้ทั่วร่างกาย หากแบคทีเรียไปเกาะที่หัวนม เวลาให้นมลูกก็อาจติดเชื้อได้อีกด้วยค่ะ
9.หลังคลอดคุณแม่ไม่ควรเคลื่อนไหวมาก เพราะอาจทำให้แผลอักเสบได้ ไม่จริง เพราะการเคลื่อนไหวจะทำให้มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณแผล และทำให้การติดของแผลดีขึ้น เพราะเลือดจะพาเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นตัวกัดกินเชื้อโรคมาที่แผลด้วย ถ้ามีเม็ดเลือดขาวเยอะก็จะทำให้ป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้อได้ดีขึ้น คุณแม่จึงควรเคลื่อนไหวให้ได้มากเท่าที่สามารถทำได้ค่ะ
10.คุณแม่หลังคลอดที่ให้นม ห้ามกินยาคุมกำเนิด จริง โดยปกติแล้วการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนโปรแลคตินเพื่อสร้างน้ำนม และสร้างออกซีโตซินเพื่อหลั่งน้ำนมในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อฮอร์โมนสูงก็จะไปยับยั้งการตกไข่ เมื่อยังไม่มีการตกไข่ ก็จะไม่มีการตั้งครรภ์ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเท่ากับเป็นการคุมกำเนิดโดยธรรมชาติ และส่งผลให้ประจำเดือนรอบแรกหลังคลอดจะมาช้ากว่าเดิม อย่างไรก็ดีทางการแพทย์พบว่ายังมีอัตราการตั้งครรภ์ที่ 8% ในคุณแม่ที่ให้นมบุตรโดยไม่ได้คุมกำเนิดวิธีอื่น
ดังนั้น ถ้าหากให้นมไปนานๆ ฮอร์โมนของการให้นมจะเริ่มลดลง รังไข่เริ่มมีการผลิตไข่ทำให้เริ่มมีประจำเดือนมา ในกรณีนี้ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุม จะมีอัตราการตั้งครรภ์เพิ่มเป็น 36% เลยทีเดียว
ดังนั้น คุณแม่ให้นมจึงต้องคุมกำเนิด แต่ต้องไม่ใช่วิธีกินยา เพราะการกินยาคุมกำเนิดจะทำให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งจะไปยับยั้งการสร้างน้ำนม ทำให้น้ำนมแห้ง หากคุณแม่ต้องก
ที่มา https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=1589&sub_id=46&ref_main_id=11
ที่มา https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=1589&sub_id=46&ref_main_id=11