เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2555 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมสิริคุณากร 4 อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย งานประชาสัมพันธ์ ร่วมกับ ฝ่ายวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี ได้จัดงานแถลงข่าวนักวิจัยพบสื่อมวลชน ประจำเดือน กันยายน 2555 ในหัวข้อ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์ โดย ศ.พญ.เพลินจันทร์ เชษฐ์โชติศักดิ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และคณะนักวิจัยแถลงข่าว
ศ.พญ.เพลินจันทร์ เชษฐ์โชติศักดิ์ แถลงว่า“โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์” เป็นโรคใหม่ที่คนเอเชียเป็นกันเยอะถูกค้นพบเป้นครั้งแรก โดย ทีมแพทย์ รพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น บุคคลทั่วไปมักเข้าใจว่า โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะต้องเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์เท่านั้น แต่ข้อเท็จจริง สามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ อย่างโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช้เอดส์ ถือเป็นโรคใหม่ ที่วงการแพทย์ของโลกเพิ่งค้นพบ
ข้อสงสัยนี้ ได้ถูกเปิดเผยโดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย ศ. พญ. เพลินจันทร์ เชษฐ์โชติศักดิ์ (หัวหน้าทีมวิจัย) รศ.นพ. ภิรุญ มุตสิกพันธ์ รศ.พญ. ศิริลักษณ์ อนันณัฐศิริ สาขาวิชาโรคติดเชื้อและเวชศาสตร์เขตร้อน ภาควิชาอายุรศาสตร์ และ รศ.ดร. วีระพงษ์ ลุลิตานนท์ ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยได้ทำการวิจัยร่วมกันระหว่างแพทย์จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ คือ ประเทศไทย ประสหรัฐอเมริกา และ ประเทศไต้หวัน ที่ได้ร่วมมือกันทำการศึกษาวิจัยในเรื่องโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช้โรคเอดส์ ซึ่งผลการศึกษาในครั้งนี้ เปรียบแล้วก็เหมือนกุญแจสำคัญ ที่สามารถช่วยให้การรักษาของหมอ เป็นไปอย่างถูกทิศทางและแม่นยำ ช่วยชีวิตผู้ป่วยให้รอดพ้นจากโรคร้ายได้ นอกจากนี้ผลการศึกษาในครั้งนี้ ยังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์หลายฉบับ ที่ได้รับการอ้างอิงและเป็นที่ยอมรับสูง
จากการพูดคุย กับ ศ. พญ. เพลินจันทร์ เชษฐ์โชติศักดิ์ คุณหมอได้คุยให้ทีมงานฟังว่า ได้มีโอกาสดูแลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรังที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลืองหลายราย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 เป็นต้นมา ซึ่งต่อมาพบว่าผู้ป่วยเหล่านั้นไม่ได้ติดเชื้อวัณโรค แต่เป็นการติดเชื้อกลุ่มวัณโรคที่ไม่ใช่วัณโรค เรียกว่า nontuberculous mycobacteria (NTM) นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราอื่นร่วมด้วย และผู้ป่วยบางรายมีภาวะผิวหนังอักเสบเป็นๆหายๆ (reactive skin disease)
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2543 ทีมนักวิจัยได้รวบรวมผู้ป่วยได้ 16 ราย และรายงานในวารสารทางการแพทย์ Clinical Infectious Disease ว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีอาการทางคลินิกที่ไม่เคยพบมาก่อนซึ่งนับว่าเป็นการรายงานภาวะของโรคนี้เป็นครั้งแรก ปี พ.ศ. 2550 ทีมนักวิจัยได้รวบรวมผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อกลุ่มวัณโรคฯ หรือ NTM เพิ่มเติมจากโรงเรียนแพทย์ 4 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศิริราชพยาบาล รามาธิบดี และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมได้ 129 ราย ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ Clinical Infectious Disease ซึ่งนับว่าเป็นการรายงานการติดเชื้อกลุ่มวัณโรคฯ (NTM) ที่ไม่ได้ติดเชื้อเอดส์ที่มากที่สุดในโลก
ในระหว่างที่ทีมนักวิจัยยังไม่ทราบสาเหตุของภูมิคุ้มกันบกพร่องในผู้ป่วย ในปีพ.ศ. 2547 ได้มีรายงานผู้ป่วยชาวฟิลิปปินส์และคนไทยที่อาศัยอยู่ประเทศเยอรมันมีการติดเชื้อกลุ่มวัณโรคฯ (NTM) และตรวจพบสารต่อต้านอินเตอเฟอรอนแกมมาเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นมีการรายงานผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นที่มาของการร่วมมือระหว่างสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศไทย และประเทศไต้หวันทำให้เกิดผลงานได้รับการตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine
โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช้โรคเอดส์ ถือเป็นโรคค้นพบใหม่ อาการทางคลินิกต่างจากโรคเอดส์ รวมถึง มีความคล้ายคลึง กับโรคพุ่มพวง หรือ โรค SLE อย่างไร ศ.พญ. เพลินจันทร์ กล่าวว่า อันดับแรก ต้องอธิบายถึงโรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ก่อนว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือ HIV ซึ่ง HIV จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง แต่ว่าในผู้ป่วย HIV หรือผู้ป่วยเอดส์ ภูมิคุ้มกันจะสูญเสียไปมาก เพราะฉะนั้น การติดเชื้อฉวยโอกาสนั้น จะมีโอกาสติดเชื้อได้หลายอย่างมากกว่า และ ภูมิคุ้มกันบกพร่องมากกว่า เชื้อฉวยโอกาสที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือเชื้อวัณโรค รองลงมาก็จะเป็นพวกเชื้อราต่างๆ ในผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช้เอดส์นี้ ไม่ได้ติดเชื้อวัณโรค เป็นอันดับหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเจอได้น้อย
ส่วนโรคพุ่มพวง หรือ โรค SLE มีความเหมือนกับโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช้เอดส์ ก็คือร่างกายสร้างสารขึ้นมายับยั้งเซลล์ของตัวเองเหมือนกัน แต่ว่าโรคพุ่มพวงหรือโรค SLE นั้น ร่างกายจะสร้างแอนติบอดี้มายับยั้งเซลล์พวกไต ทำให้ไตผิดปกติ เม็ดเลือดขาวหรืออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย คนไข้ก็จะมีอาการผมร่วง มีผื่น ปวดตามข้อ มีโรคไต โรคเลือด จะไม่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อ แต่โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช้เอดส์นี้ ร่างกายสร้างสารขึ้นมายับยั้งอินเตอร์เฟรอนแกรมมาของตัวเอง คือเป็นโรคที่พูดง่ายๆ สร้างขึ้นมาทำลายเซลล์ของตัวเองเช่นกัน และจากการศึกษาข้อมูลอ้างอิง พบว่าโรคนี้ส่วนใหญ่จะพบมาในชาวเอเชีย
อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่ติดต่อระหว่างคนสู่คน และเชื้อกลุ่มวัณโรคฯ (NTM) ที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเหล่านี้ ก็ไม่ติดต่อระหว่างคนเช่นเดียวกันซึ่งต่างจากวัณโรค และหลายคนก็คงมีคำถามว่าโรคนี้สามารถรักษาได้หรือไม่ ศ.พญ. เพลินจันทร์ ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ปัจจุบันการรักษาคือการรักษาโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะการรักษาการติดเชื้อกลุ่มวัณโรคฯ (NTM) ผู้ป่วยบางรายหายขาดได้ แต่มักต้องรักษาเป็นเวลานาน ในรายที่ติดเชื้อฉวยโอกาสก็ให้การรักษาโรคเหล่านั้นได้ สำหรับการรักษาเพื่อลดการสร้างสารต่อต้านอินเตอเฟอรอนแกมมา ต้องรอการศึกษาวิจัยในอนาคต
ที่มา https://www.thaihealth.net/h/article772.html