ดีไซน์หน้าให้"สวย" ด้วยมุมมองแบบ 3 มิติ


1,058 ผู้ชม


  • ปัจจุบันนี้ โลกเราได้มีการพัฒนาต่อเนื่องกันอย่างไม่หยุดยั้ง องค์ความรู้ใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นมามากมาย ตราบใดที่มนุษย�
��เราไม่ยอมหยุดยั้งการเรียนรู้ ศาสตร์แขนงด้านการแพทย์ก็เช่นเดียวกันก็ได้เติบโตมากขึ้น มีวิทยาการใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแพทย์แขนงใด ต่างก็มีการพัฒนามากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
  • ในแวดวงความงามก็เช่นกัน เมื่อคนเริ่มมีฐานะดีขึ้น คนก็เริ่มให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ของตนเองมากขึ้น เพราะรูปลักษณ์ภายนอก แทบจะเป็นใบเบิกทางในการก้าวสู่หน้าที่การงานที่มั่นคง สร้างรายได้ที่มากมาย ดังนั้นเมื่อมีความต้องการการรักษาด้านนี้มีเพิ่มมากขึ้นหลายร้อยเท่า จึงทำให้คลินิกด้านผิวพรรณ(Aesthetic Clinic) เกิดขึ้นมามากมาย มีเครื่องมือ มีขั้นตอนการรักษาที่หลากหลาย ดังนั้นผมเองในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามคนหนึ่ง จึงอยากจะให้ข้อคิด แนวทางการพิจารณาการเลือกการรักษาแบบไหนที่เหมาะกับตัวเรา และคุ้มค่ากับเวลาและเงินที่เสียไป 
  • ก่อนอื่น เราควรจะมีต้องความรู้เสียก่อนว่า เครื่องมือหรืออาวุธที่แพทย์ด้านความงามเค้านำมารังสรรค์ความงามให้กับใบหน้าของเรานั้น มีอะไรบ้าง ทำงานอย่างไร เวลาไปปรึกษาแพทย์ หรือเวลาแพทย์อธิบาย จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นดังนี้
    1.Botox : คือ สาร Botulinum toxin ชนิด A กลไกการออกฤทธิ์ของสารโบท็อกซ์ จะไปยับยั้งการสื่อสารระหว่างเซลประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอัมพาตชั่วคราวหรือทำงานลดลง ดังนั้นเน้นว่า โบทอกซ์จะทำงานที่ชั้นกล้ามเนื้อเท่านั้น  ปัจจุบัน Botox มีมากมายหลายยี่ห้อ แต่ยี่ห้อ Botox จริงๆ เป็นของบริษัท Allergan (ขวดสีม่วง) จากอเมริกา ที่นิยมใช้กันทั่วโลก การฉีดโบทอกซ์ควรฉีดด้วยแพทย์ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เท่านั้น จึงจะได้ผลดี และไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ 
    2.Fillers: คือ สารเติมเต็ม  ที่ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังแท้ คำว่าสารเติมเต็ม แสดงว่าต้องเติมในส่วนที่พร่อง หรือมีน้อยเกินไป  ฟิลเลอร์มีหลายแบบ ทั้งแบบถาวร และไม่ถาวร ในที่นี้ควรเลือกฟิลเลอร์แบบที่ไม่ถาวร ปลอดภัย ไม่แพ้ นั่นคือ Hyaluronic acid (HA) หรือ Hyaluran เพราะถ้าไม่พอใจยังพอจะมีสารที่จะฉีดให้สลายได้ ไม่ควรเลือกฟิลเลอร์ที่อยู่นานเกิน 12-18 เดือน เพราะเมื่อมีปัญหาภายหลังจะแก้ไขได้ยาก
    3.Laser: เลเซอร์ในแวดวงความงามมีมากมาย ส่วนใหญ่จะทำงานในชั้นผิวหนังชั้นนอก(Epidermis)และชั้นใน (Dermis)  และได้จัดแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
    3.1เลเซอร์ในการกำจัดเนื้องอกธรรมดาของผิวหนัง - ได้แก่ CO2 Laser 
    3.2 เลเซอร์สำหรับการลอกหน้า – ได้แก่ Fractional CO2 Laser,Erbium:YAG laser 
    3.3เลเซอร์สำหรับการรักษาเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ เช่น ฝ้า กระ รอยด่างดำ  – ได้แก่ Q-switched Nd:YAG 
    3.4เลเซอร์สำหรับการรักษาเส้นเลือดที่ผิดปกติ รอยแดง – ได้แก่ Pulse Dye Laser ,Long-pulsed Nd:YAG laser
    3.5เลเซอร์ในการลบรอยสัก– ได้แก่ Q-switched Nd:YAG
    3.6เลเซอร์ในการกำจัดขนกึ่งถาวร– ได้แก่ Q-switched Nd:YAG,Long-pulsed Nd:YAG laser
    3.7เลเซอร์ในการกระตุ้นคอลลาเจน รักษาริ้วรอยตื้นๆ  และรอยหลุม– ได้แก่ Fractional laser เช่น Fraxel Restore,Fine scan 
    4.IPL:: บางคนก็จัดว่าเป็นเลเซอร์ บางคนก็ไม่จัดว่าเป็นเลเซอร์ เพราะเป็นการรักษาด้วยการใช้คลื่นแสง หลากหลายช่วงคลื่น ไม่จำเพาะเจาะจง ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้เช่นกัน IPL ทำมารักษาปัญหาผิวพรรณได้หลากหลาย แต่ได้ผลในระดับหนึ่ง เทียบกับเลเซอร์ที่รักษาเฉพาะต่อปัญหานั้นๆ ไม่ได้ 
    5.RF: จะใช้คลื่นความร้อนไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ที่ชั้นหนังแท้ ทำให้ลดความหย่อนคล้อย ผิวหน้ากระชับชึ้น เช่น Thermage
    6.Ulthera:จะใช้คลื่นอัลตราซาวน์ไปกระตุ้นไปยังผิวหนังส่วนลึก แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็กๆ มุ่งเป้าหมายรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน ( SMAS ) ซึ่งอยุ่เหนือกล้ามเนื้อ ทำให้ลดการหย่อยคล้อยและผิวหน้ากระชับชึ้นเช่นกัน 
    7.ไหมละลาย: ไหมที่ใช้ เป็นไหมชนิด Polydioxanone(PDO) เดิมใช้นำมาเย็บเส้นเลือดหัวใจ ปัจจุบัน ได้นำมาใช้ร้อยในชั้นหนังแท้ เพื่อยกกระชับ ลดการหย่อนคล้อย 
    8.Fractional RF:เป็นการนำคลื่นความร้อน (RF ) มารักษารอยหลุม ยกกระชับ มีทั้งแบบไม่มีเข็ม (E-MATRIX) และแบบมีเข็ม ทำงานในชั้นหนังแท้ เช่นกัน
    ฯลฯ 
  • เมื่อเราทราบเครื่องมือต่างๆ ของแพทย์ด้านความงามกันคร่าวๆ แล้ว คราวนี้มาดูว่าแพทย์ด้านความงามเค้าจะดีไซน์หรือแก้ปัญหาที่ด้อยของเรา ให้ดูดีขึ้นได้อย่างไร  แพทย์จะพิจารณาจากโครงหน้า แบบ 3 มิติ คือ
  • 1.ด้านแนวยาว: จะขีดเส้นเป็นแนวขวาง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
    1.1.โครงหน้าส่วนบน (Upper Part) : จะนับจากแนวเส้นผมด้านหน้า ถึงกึ่งกลางตา 
    1.2.โครงหน้าส่วนกลาง (Middle Part) : จะนับจากแนวกึ่งกลางตา ถึงฐานจมูก 
    1.3.โครงหน้าส่วนล่าง (Lower  Part) : จะนับจากฐานจมูก ถึงปลายคาง (ดูภาพประกอบด้านล่าง)
          ซึ่งการแบ่งแบบนี้ จะบ่งบอกว่าสัดส่วนของใบหน้าคนไข้ มีความเหมาะสมเพียงใด โดยพบว่าสัดส่วนใบหน้าที่เหมาะสม ควรจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 33.33 %  หรือเท่าๆ กันทั้ง 3 ส่วน ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยๆ คือ คนไข้อยากจะเสริมคาง ถ้าเราวัดสัดส่วนพบว่าโครงหน้าส่วนล่างสั้นกว่าส่วนอื่นๆ แพทย์จึงจะพิจารณาเสริมคางให้ยาวขึ้น อาจจะด้วยการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคน หรือฉีดเสริมด้วยฟิลเลอร์ นอกจากนี้อาจจะใช้ประเมินภาวะหางคิ้วตก หางตาตก หนังตาตก ด้วยหรือไม่ จะแก้ไขด้วยการร้อยไหมละลาย หรือทำ Ulthera ก็ต้องดูตามความเหมาะสม 
  • 2. ด้านแนวกว้าง:จะขีดเส้นในแนวดิ่ง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 5 ส่วน เท่าๆ กัน  เพราะจะประเมินว่าคนไข้มีรูปหน้าที่กลมเกินไป หรือหน้าเรียวเล็กเกินไป จะแก้ไขอย่างไร เช่น
    2.1 ถ้าปีกจมูกโตเกินไป อาจจะฉีดโบทอกซ์ลดปีกจมูก
    2.2ถ้ารูปหน้าที่กลมเกินไปมีสาเหตุจากอะไร ถ้าจากกล้ามเนื้อก็ต้องฉีดโบทอกซ์ลดกรามให้เล็กลง ถ้าจากไขมันที่แก้มมากก็อาจจะฉีดสลายไขมันที่แก้มให้ลดลงด้วยตัวยาสลายไขมัน ถ้าจากการหย่อนคล้อยจากชั้นหนังแท้ ก็อาจจะยกกระชับปรับให้เรียวด้วยการร้อยไหมยกกระชับ หรือ ทำ RF,Thermage แต่ถ้าหย่อนคล้อยในชั้น SMAS ก็อาจจะทำ Ulthera เป็นต้น
    2.3ถ้ารูปหน้าสองข้างไม่เท่ากัน จะปรับอย่างไร   ใช้การฉีดเติมด้วยฟิลเลอร์เพิ่มส่วนที่พร่อง  หรือฉีดโบทอกซ์ปรับส่วนที่เกินให้เล็กลง  (ดูภาพประกอบด้านบน) 
  • 3.    ด้านลึก: ในที่นี้ หมายถึงการประเมินสภาพใบหน้าทุกชั้นผิว ซึ่งแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้ (ดูภาพประกอบด้านล่างสุด) 
    3.1.ผิวหนังชั้นนอก(Epidermis):  เป็นชั้นของเซลล์บุผิวของกล้ามเนื้อลาย  ผิวหนังชั้นนี้ไม่มีเลือด ส่วนใหญ่จะบาง ยกเว้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาเรื่องรอยดำ รอยแดง สิว ที่ไม่รุนแรง ปัญหาไม่มาก ก็อาจจะแค่ทาครีมรักษาก็ช่วยให้หายหรือดีขึ้นได้ 
    3.2.ผิวหนังชั้นลึกหรือชั้นหนังแท้( Dermis):  ผิวหนังชั้นนี้ จัดเป็นชั้นที่ซับซ้อน ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ของคอลลาเจน อีลาสติน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เรียงโยงใยเป็นร่างแห มีหลอดเลือด ท่อน้ำเหลือง เส้นประสาท ต่อมไขมัน ท่อต่อมเหงื่อ ฯลฯ เป็นชั้นที่เกิดปัญหาด้านผิวพรรณได้มากมาย เช่น ถ้าเกิดรอยหลุม ฝ้าลึก กระลึก สิวเรื้อรังอักเสบรุนแรง รอยแดงเส้นเลือด แพทย์ก็จะพิจารณาว่าควรจะรักษาด้วยการทำเลเซอร์ที่จำเพาะต่อปัญหา   หรือถ้าเกิดการพร่องไปของปริมาณเนื้อที่ลดลง จากการลดลงของคอลลาเจน เช่น ร่องแก้มลึก ร่องตาลึก ก็อาจจะฉีดเติมสารเติมเต็ม หรือฉีดเสริมจมูกกรณีที่ต้องการให้จมูกโด่งขึ้น  
    3.3.ชั้นไขมัน ( Subcutaneous Fat): ชั้นนี้ส่วนใหญ่ปัญหาที่พบ มักจะเกิดจากไขมันมากเกินไป แก้มกลม หน้ากลม อยากจะลดลง ชั้นนี้ปัญหาไม่มาก มักจะฉีดสลายไขมันให้เล็กลงด้วยยาที่เรียกว่า Mesofat  ส่วนการทำการสลายไขมันด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ค่อยนิยม เพราะผลข้างเคียงมาก 
    3.4.ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscles): ชั้นนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าไม่กระชับ หน้าบานจากกล้ามเนื้อโตเกินไป ตรงนี้ส่วนใหญ่จะแก้ไขด้วยการฉีดโบทอกซ์เป็นหลัก วิธีอื่นๆ มักจะไม่ค่อยช่วยมากนัก 
  • ซึ่งจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เปรียบเสมือนช่างแต่งหน้าที่จะช่วยให้เราดูดีขึ้น ลดส่วนด้อย เพิ่มจุดเด่นบนใบหน้า หลายคนที่เข้ามาคลินิกมักจะแจ้งว่าอยากทำอย่างนั้น อยากทำอย่างนี้ตามที่เห็นในสื่อหรือโฆษณา หรือตามเพื่อนๆ บอกมาว่าทำอย่างนั้นแล้วดี อย่างนี้แล้วใช่ หมอที่มีประสบการณ์และความชำนาญ ควรจะร่วมกันวิเคราะห์ปัญหากับคนไข้ และให้คำแนะนำที่เหมาะสม และถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณแพทย์ที่ดี นอกจากนี้การเลือกแนวทางการรักษา  ควรคำนึงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือหรือยาที่ใช้ ถ้าไม่ทราบก็เลือกยี่ห้อที่แพทย์นิยมใช้กันมากทั่วโลก  เพราะจะการันตีเรื่องความปลอดภัย ผ่านอ.ย.หรือไม่  มีผลข้างเคียงอย่างไร  ร่วมด้วย นอกเหนือจากความชำนาญและประสบการณ์ ของแพทย์
    เรียบเรียงจากประสบการณ์โดย นพ.จรัสพล รินทระ
    Update ข้อมุลล่าสุด..............19 September,2012 

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=9&sdata=&col_id=387

อัพเดทล่าสุด