DIHAM ระบบตรวจสุขภาพเส้นผมมาตรฐานสากล


826 ผู้ชม


  • ในระยะก่อน 1-2 ปีนี้ การประเมินสุขภาพเส้นผมของคนไทย การติตตามผลการรักษาปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน หรือเส้นผมผิดปกติ แพทย์
จะใช้การซักประวัติ ตรวจนับเส้นผมที่ร่วงต่อวัน การตรวจร่างกาย และการถ่ายภาพเปรียบเทียบก่อน-หลังการรักษา เป็นสำคัญ (ดูภาพประกอบที่ 1) แต่ในปัจจุบัน ได้มี เครื่องมือหรืออาวุธที่สำคัญที่ทำให้ผลการประเมินดังกล่าว แม่นยำมากขึ้น และเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้มากขึ้น ซึ่งก็คือ ระบบการตรวจด้วย DIHAM LAB
  • DIHAM LAB ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในการตรวจสภาพเส้นผม โดยใช้เป็นเทคโนโลยี่ความทันสมัยของคอมพิวเตอร์มาใช้ในการประเมินปัญหาเส้นผม และหนังศีรษะทั้งในแง่ตรวจสุขภาพเส้นผมทั่วไป ค้นหาความผิดปกติเริ่มแรก ติดตามผลการรักษา โดยเป็นที่ยอมรับอย่างมาก ทั้งจากคนไข้ แพทย์ที่ดูแลเส้นผม และสถาบันวิจัยเส้นผมชั้นนำทั่วโลก อาทิ L'Oreal ประเทศฝรั่งเศส, Shiseido ประเทศญี่ปุ่น ,มหาวิทยาลัย Portsmouth ประเทศอังกฤษ สถาบัน ,Louis-Pasteur ประเทศฝรั่งเศส ฯลฯ
  • DIHAM LAB มาจากคำว่า Digital Image of Hair Analysis and Measurement Laboratories คือ การตรวจนับเส้นผมด้วยภาพถ่ายขยายโดยกล้องระบบดิจิตอล แล้วส่งห้องแลบเพื่อการวิเคราะห์ ตรวจนับและประเมินผล เป็นเทคโนโลยี่ใหม่ที่มีการยอมรับจากอเมริกาว่าเป็นมาตราฐานสากล ในการตรวจสุขภาพเส้นผมเฉพาะบุคคล ภายใต้สิทธิบัตรเลขที่ US 6389150
  • การตรวจสภาพเส้นผมด้วย DIHAM LAB จะทราบถึงข้อมูลของบุคคลนั้นดังนี้ ( ภาพประกอบที่ 2) 
      1. จำนวนเส้นผม(Hair Density): คือจะตรวจนับจำนวนเส้นผม/พื้นที่ 25 ตร.มม. โดย คนปกติจะต้องมีจำนวนเส้นผมมากกว่า 35 เส้นต่อ 25 ตร.มม. ( ขนาดของภาพที่ถ่ายขยายเป็นไมครอน)
      2. ค่าเฉลี่ยของขนาดเส้นผม( Average Diameter): ว่ามีขนาดมากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นการบ่งว่าเส้นผมเริ่มมีปัญหาแล้วหรือไม่ โดยคนปกติควรจะมีขนาดเส้นผมมากกว่า 60 ไมครอน 
      3. สัดส่วนของเส้นผมที่มีขนาดปกติ/จำนวนเส้นผมทั้งหมด (Ratio of Standard Sized Hair) คือ จะบอกว่าในพื้นที่ 25 ตร.มม.นี้ มีจำนวนเส้นผมที่มีขนาดปกติ คือ มากกว่า 60 ไมครอน เป็นสัดส่วนเท่าใดของพื้นที่ ซึ่งคนปกติ ควรจะมีสัดส่วนร้อยละ 30 
      4. อัตราการงอกเฉลี่ยของเส้นผม( Average Hair growth) โดยทั่วไป สุขภาพเส้นผมจะเริ่มผิดปกติในอันดับแรก ก็คือ อัตราการงอกจะเริ่มลดลงจากค่าปกติ ซึ่งเป็นความผิดปกติของวงจรชีวิตของเส้นผม แล้วจึงจะทำให้ขนาดเส้นผมเล็กลง และจำนวนเส้นผมบางลง ซึ่งคนปกติจะต้องมีอัตราการงอกมากกว่า 0.25 มม.ต่อวัน 
      5. สัดส่วนของเส้นผมที่มีการงอก/จำนวนเส้นผมทั้งหมด (Ratio of Active(Anagen) Hair)โดยถ้าเส้นผมที่มีการงอกสม่ำเสมอ จะบ่งถึงสุขภาพเส้นผม ที่แข็งแรง และเป็นเส้นผมระยะ Anagen ที่กรณีคนปกติหรือไม่มีปัญหา จะต้องมีค่ามากกว่า 85 % 
      6. สัดส่วนของเส้นผมที่ไม่มีการงอก/จำนวนเส้นผมทั้งหมด (Ratio of Non-active (Telogen) Hair) โดยถ้าเส้นผมที่ไม่มีการงอก และเตรียมจะหลุดร่วงออกไป และไม่มีทดแทน ซึ่งจะบ่งถึง ปัญหาผมบางรุนแรงมากน้อยเพียงใด และเป็นเส้นผมระยะ Telogen ที่กรณีคนปกติหรือไม่มีปัญหา จะต้องมีค่าน้อยกว่า 15 % ถ้าค่าสัดส่วนนี้ยิ่งมาก เท่าใด จะยิ่งบ่งบอกเกรดของผมบางมากเพียงนั้น และทั้งนี้ทำให้คาดการณ์ภาวะจำนวนเส้นผมที่จะร่วงในอนาคตด้วย 
      7. นอกจากนี้จะทำให้ทราบสภาพของหนังศีรษะทั่วไป ว่า สภาพหนังศีรษะมันหรือแห้งเกินไป ภาวะอักเสบของหนังศีรษะ
  • DIHAM LAB มีประโยชน์อย่างไร 
      1. ช่วยให้สามารถตรวจเช็คสุขภาพเส้นผม รู้ปัญหา และสาเหตุที่แท้จริงแต่เนิ่นๆ ก่อนที่คนอื่นจะสังเกตได้ และอาจจะสายเกินจะแก้ไข 
      2. ช่วยติดตามผลการรักษาปัญหาเส้นผมบาง ศีรษะล้าน ของคนไข้และแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินผลการรักษาว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด 
      3. ช่วยในการประเมินผลระยะเวลาในการรักษา ว่านานมากน้อยเพียงใด จะเริ่มหยุดการรักษาได้หรือไม่ หรือต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาอย่างไร ( ดูภาพประกอบที่ 3 ซึ่งถ้าผลการตรวจอยู่ใน Green Zone เป็นระยะเวลานานๆ ถือว่าหยุดยาได้ หรือถ้าเริ่มเข้าสู่ระยะ Yellow-Red Zone แสดงว่า ควรจะเริ่มรักษา หรือต้องรักษาต่อไปก่อน)
  • ขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพเส้นผมด้วยระบบ DIHAM LAB. 
      1. พบแพทย์ตามสถานพยาบาลที่มีบริการตรวจสุขภาพเส้นผมด้วย DIHAM LAB 
      2. แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจสภาพเส้นผมด้วยตาเปล่าเบื้องต้น 
      3. แพทย์จะทำการถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอลทั่วๆ ไปก่อน 
      4. แพทย์ หรือพนักงานแลบ จะทำการถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอลขยาย 6 เท่า ของระบบ DIHAM 
      5. แพทย์ หรือพนักงานแลบจะทำการย้อมสีผม 3 แห่งที่ต้องการ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. อย่างน้อย 3 บริเวณ ลักษณะเป็นน้ำยาสีเหลือง แล้ว ทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชม. ค่อยล้างออก ค่าใช้จ่ายในวันนี้จะประมาณ 300 บาทต่อครั้ง หรือบริเวณละ 100 บาทต่อจุดที่ถ่าย และถ่ายอย่างน้อย 3 จุด 
      6. อีก 2 วันต่อมา แพทย์จะนัดมาถ่ายรูปบริเวณที่ย้อมสีผมไว้ ค่าใช้จ่ายในวันนี้จะจ่ายอีก 300 บาทต่อครั้ง หรือ 100 บาทต่อบริเวณ และถ่ายอย่างน้อย 3 ที่เช่นกัน เพื่อใช้เปรียบเทียบ และวัดผล อัตราการงอกของเส้นผม 
      7. แพทย์จะนัดมาฟังผล หลังจากนั้นอีก 2-3 วัน หรือในช่วงวันเวลาที่คนไข้สะดวกที่จะมาพบแพทย์ เนื่องจากขั้นตอนในการส่งแลบและอ่านผล ใช้เวลาประมาณ 3 วันเป็นอย่างน้อย 
    เรียบเรียงและค้นคว้าใหม่ โดยนพ.จรัสพล รินทระ .......ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด.....6 September 2005

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=7&sdata=&col_id=240

อัพเดทล่าสุด