Mederma ยาทารักษาแผลเป็นนูนตัวล่าสุด


24,439 ผู้ชม


  • เมื่อเกิดมีบาดแผลขึ้นที่ผิวหนัง ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุ หรือร่องรอยสิว แผลผ่าตัด ฯลฯ ร่างกายจะมีการสมานบาดแผลตามธ�
��รมชาติโดยเกิดขึ้นเป็นขั้นตอนดังนี้ ตั้งแต่การแข็งตัวของเลือด> การเกิดการอักเสบ> การสร้างคอลลาเจน>การสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทดแทน > การสร้างหนังกำพร้า> และสุดท้ายก็คือการปรับสภาพของเซลล์ผิวหนังให้เข้าสู่สมดุล ถ้าเกิดการผิดปกติในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง ก็จะเกิด รอยแผลเป็นลักษณะต่างๆ ขึ้นมาได้
  • แผลเป็นรอยนูน เป็นขบวนการสมานแผลที่เกิดขึ้นระหว่างหรือภายหลังจากการสมานแผล มีการสร้างคอลลาเจน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจำนวนมากกว่าปกติ แล้วขยายออกคล้ายก้ามปู มีความตึงตัวที่แผลสูง มักจะเกิดเป็นคีลอยด์ตามมาได้บ่อย โดยพบว่าในบริเวณแผลเป็นนูน จะมีปริมาณน้ำในเซลล์น้อยกว่าในเนื้อเยี่อปกติจึงมักจะมีความยืดหยุ่น ความนุ่มไม่สมบูรณ์เท่าเนื่อเยื่อปกติ
  • Mederma เป็นเจลทาป้องกันและรักษาแผลเป็นนูนตัวใหม่ ที่เริ่มมีการใช้แพร่หลายในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริการ โดยมีรายงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงผลการรักษาของเจลรักษาแผลเป็นตัวนี้ เนื้อเจลประกอบด้วยตัวยาสำคัญสองชนิดคือ สารสกัดจากหัวหอมที่ชื่อว่า Cepalin และสาร Allantoin และที่สำคัญก็คือ ผลิตภัณฑ์รักษาแผลเป็นนูนแบบทา ตัวนี้ได้เริ่มมีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ในช่วงเดือน กย. 45 นี้เอง ลองมาทำความรู้จักกับยาตัวนี้กันหน่อยนะครับ
  • กลไกการออกฤทธิ์ของเจล Mederma พบว่ามีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญ 2 ชนิด ดังนี้ 
      1. Cepalin : มีสรรพคุณดังนี้ 
      1.1 ยับยั้งขบวนการอักเสบของแผล คล้ายครีมทาสเตียรอยด์ 
      1.2 ลดการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็น 
      1.3 กระตุ้นการสมานแผล 
      1.4 ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่แทรกซ้อนได้ 
      1.5 ส่งเสริมการปรับสภาพผิว 
      1.6 ยับยั้งการสร้างเซลล์ Fibroblast และชะลอการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective tissues) ในชั้นหนังแท้ 
      2. Allantoin : มีสรรพคุณดังนี้ 
      2.1 เพิ่มการดูดซึมของ Cephalin ให้ดีขึ้น 
      2.2 ให้ความชุ่มชื้นกับแผลเป็น ทำให้แผลเป็นนูน นุ่มขึ้น 
      2.3 บรรเทาอาการคัน เพื่อป้องกันมิให้แผลเป็นนูนขยายมากขึ้น 
      2.4 กระตุ้นการสมานแผล 
      2.5 กระตุ้นการสร้างผิวหนัง
  • เจล Mederma ได้มีการทดลองวิจัยในการนำมารักษารอยแผลเป็นนูน และคีลอยด์ ในหลายๆ ประเทศ ทำให้บทบาทการรักษาแผลเป็นรอยนูนได้ผลมากขึ้นเมื่อใช้ทารักษาควบคู่กับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ (ซึ่งได้เขียนบทความไว้แล้วที่นี่ https://www.clinicneo.co.th/column/col.php?cid=55&grp=3 ) ดังนั้นจะยก ตัวอย่างงานวิจัยที่รับรองผล 
      1. งานวิจัยที่ประเทศโปแลนด์: Chadzynska และ Jabloska แพทย์ผิวหนังชาวโปแลนด์ ได้ทำการศึกษาโดยผลการใช้ Mederma ในแผลคีลอยด์จากแผลไฟใหม้ พบว่า Mederma ให้ผลการรักษาที่ดีอย่างมีนัยสำคัญทำให้คีลอยด์มีขนาดเล็กลงและแบนราบลงในผู้ป่วยมากกว่า 50% ลักษณะแผลเป็นนูนมีความนุ่มมากขึ้น สีของแผลดีขึ้น แต่ก็พบว่ามีอัตราการไม่ได้ผลจากการทายาประมาณ 10% 
      2. งานวิจัยที่ประเทศเยอรมัน: Maragakis แพทย์ผิวหนังชาวเยอรมัน ได้ทดลองนำมารักษาคนไข้เด็กหลังผ่าตัดช่องอก 65 คน เพื่อป้องกันแผลเป็นพบว่าได้ผลดีมากถึง 52% เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกที่ 32% โดนพบว่ากลุ่มที่ใช้ Mederma มีลักษณะแผลที่ดีกว่าและมีขนาดเล็กกว่ากลุ่มเปรียบเทียบที่ใช้ยาหลอก 
      3. งานวิจัยที่ประเทศเยอรมัน: Willital แพทย์ผิวหนังชาวเยอรมัน และคณะ ได้ทำการศึกษาแบบเดียวกันกับ Maragakis แต่ให้ทายาเร็วขึ้น คือภายใน 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด พบว่ากลุ่มที่ทาด้วยยา Mederma บาดแผลจะกว้างเพียง 1 มม.(โดยเฉลี่ย) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเปรียบเทียบที่มีบาดแผลกว้างถึง 4 มม.(โดยเฉลี่ย) 
      4. งานวิจัยที่ประเทศฟิลิปปินส์ : Prof. Navarro ศัลยแพทย์ตกแต่งชาวฟิลิปินส์ ได้ทดลองทาแผลเป็นนูน คีลอยด์ ในผู้ป่วย 81 คน พบว่าหลังการใช้ทายา 6 เดือน แผลเป็นนูนมีลักษณะดีขึ้น ราบลง สีผิวดีขึ้น ถึง 43 ราย 
    ข้อบ่งชี้-วิธีใช้-ระยะเวลาในการใช้เจลทา Mederma
  •   สำหรับแผลเป็นใหม่ที่เกิดขึ้นไม่เกิน 1 ปี: ใช้ทายาแล้วนวดเบาๆ บริเวณแผลเป็น วันละ 2-4 ครั้ง ใช้เวลาในการรักษา 3-8 เดือน
  •   สำหรับแผลเกิดขึ้นมานานหรือแผลนูนแข็งเป็นดาน คีลอยด์: ใช้ทายาแล้วนวดแรงๆ บริเวณแผลเป็น วันละ 3-4 ครั้ง ใช้เวลาในการรักษา 8-12 เดือน
  •   สำหรับป้องกันแผลเป็นหลังผ่าตัด : ใช้ทายาหลังผ่าตัดภายใน 1-2 สัปดาห์ ใช้ทายาแล้วนวดเบาๆ บริเวณรอยผ่าตัด วันละ 2-4 ครั้ง ใช้เวลาในการรักษา 2-6 เดือน
  • ข้อห้ามใช้และผลข้างเคียงของเจลทา Mederma 
      1. ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติการแพ้สาร Paraben 
      2. อาจจะมีอาการคันได้บริเวณที่ทายา ใน 2-3 วันแรก โดยเชื่อว่าเกิดจากยาได้ทำปฏิกริยากับเนื้อเยื่อของแผลเป็น และมักจะหายได้เอง ภายใน 5-8 วันหลังทายา ถ้าคันมากอาจจะต้องหยุดทายาและเริ่มทาใหม่อีก 2 สัปดาห์ต่อมา 
      3. อาจจะมีอาการแพ้ได้แบบผื่นแพ้สัมผัส ถ้าเกิดอาการคันมากอีก หลังเริ่มทายาใหม่ จึงควรหยุดยาโดยเด็ดขาด
  • ในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีการรักษาแผลเป็นนูน คีลอยด์ ที่ได้ผลหายดี 100 % ดังนั้นการรักษาแบบผสมผสานหลายๆ วิธีจึงยังเป็นแนวการรักษาที่ได้ผลมากสุด แม้จะได้มีการค้นคิดเจลทาออกมาใหม่เช่น Mederma แต่ค่ายาก็แพงเอาเรื่องไม่เบา เท่าที่ทราบ หลอดละ 1,200-1,500 บาท ต่อขนาดบรรจุ 20 กรัม คลิกดูได้ที่นี่ https://www.clinicneo.co.th/2007/main.php?module=prodetail&pid=58 ดังนั้นการป้องกันการเกิดแผลเป็น และ Keloids จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการรักษาเมื่อ เกิดแผลเป็นนูนขึ้น จะเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าหลายเท่านัก 
    เรียบเรียงและค้นคว้าใหม่ โดยนพ.จรัสพล รินทระ .......ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด.....6 September 2005

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=3&sdata=&col_id=225

อัพเดทล่าสุด