อีสุกอีใส( Chicken pox)


1,018 ผู้ชม


  • โรคไข้อีสุกอีใส เป็นโรคตุ่มน้ำใส ที่ในประเทศไทยพบผู้ป่วยได้สูงถึง 30,000 รายต่อปี และพบว่าในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 30 �
��ี มีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้เพียงร้อยละ 70 ทำให้ผู้ใหญ่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ ถึงร้อยละ 30 ส่วนมากโรคนี้ พบได้บ่อยในเด็กอายุระหว่าง 2-12 ปี แต่ก็พบได้ทุกช่วงอายุ ความรุนแรงของโรค ขึ้นอยู่กับภาวะภูมิต้านทานของร่างกาย จำนวนเชื้อที่ได้รับ เกิดจากเชื้อไวรัส Varicella Zoster
  • มีอาการเริ่มต้น ด้วยการมีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย แล้วเกิดตุ่มน้ำขึ้นบริเวณร่างกาย โดยมักเกิดที่ใบหน้า ตามลำตัว ทรวงอก และแพร่กระจายไปตามร่างกาย โดยภายใน 2-3 วันหลังมีไข้ต่ำๆ ตุ่มน้ำใสระยะแรก จะเริ่มเกิดขึ้น ผนังจะบาง ตุ่มจะใสและมีรอยแดงตรงกลาง หลังจากนั้นตุ่มจะโตขึ้น เป็นตุ่มสีขาวขุ่น หรือเป็นหนอง มักมีรอยบุ๋มตรงกลาง และหลังจากนั้นจะเริ่มแห้งเป็นสะเก็ด และหายได้เอง ภายใน 7-10 วัน ( ดูภาพประกอบ) หลังจากเริ่มมีตุ่มน้ำ มีระยะติดต่อตั้งแต่วันแรก จนถึงวันที่สะเก็ดหลุด ประมาณ 2 อาทิตย์ ติดต่อได้โดยการสัมผัส
  • แนวทางการรักษา 
        1. ถ้าต้องการให้ความรุนแรงลดลง การให้ยากลุ่ม Acyclovir วันละ 1 เม็ดทุก 5 ชั่วโมง เป็นเวลาติดต่อกัน 5 วัน ได้มีการวิจัยพบว่า สามารถทำให้ความรุนแรงลดลง ทั้งจำนวนเม็ดตุ่มน้ำใส และระยะเวลาในการหาย เมื่อเทียบกับไม่ได้ให้ยากินนี้ แต่ค่าใช้จ่ายต่อยา ประมาณ 1,400 บาทต่อคอร์ส 
        2. การให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Cloxacillin เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ เพื่อป้องกันแผลเป็นจากหนองอักเสบ อาจพิจารณาเป็นรายๆไป 
        3. ให้ยาลดไข้ หรือ ยาแก้ปวดตามอาการ เช่น Paracetamol 
        4. แผลเป็นจากอีสุกอีใส มักหายได้เอง และใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ กรณีที่เกิดแผลเป็นรอยหลุม เป็นเวลานาน มีแนวทางการรักษา คล้ายการแก้ปัญหารอยหลุมจากสิว นั่นคือ การทำ peeling Ionto หรือการเติมรอยหลุมด้วย Articore, Newfill เป็นต้น
  • พบว่าการเป็นโรคไข้อีสุกอีใสในวัยผู้ใหญ่ จะมีความรุนแรงมากกว่าเป็นตอนวัยเด็ก คือ ตุ่มน้ำพองใสจะมากกว่า รุนแรงกว่า และเกิดร่องรอยแผลเป็นได้มากกว่า นอกจากนี้อาจเกิดปอดอักเสบได้บ่อยกว่า จึงได้มีความคิดในการนำวัคซีนไข้อีสุกอีใส มาฉีดเพื่อป้องกันโรคดังกล่าว
  • วัคซีนนี้ ได้มีการผลิตครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2513 และได้มีการทดลองฉีดครั้งแรกในเด็กญี่ปุ่นที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้เด็กเหล่านี้ ซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำอยู่แล้ว มีอาการของโรคนี้แทรกซ้อนภายหลัง และในปี 2536 ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีได้ใช้วัคซีนนี้ฉีดป้องกันในเด็กปกติ ต่อมาในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มใช้ในเด็กปกติทุกรายที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ปี 2528 ส่วนในประเทศไทย ได้มีการนำวัคซีนนี้เข้ามาฉีดเพื่อป้องกัน ในปี 2538 แต่ไม่ได้ถือเป็นวัคซีนที่ต้องฉีดทุกคน ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน และสามารถให้แพทย์ตามรพ.และคลินิกจัดฉีดให้ได้
  • ข้อควรรู้ในการฉีดวัคซีน 
        1. เด็กอายุตั้งแต่ 12-18 เดือน จนถึงอายุ 13 ปี แนะนำให้ฉีด 1 เข็ม ขนาด 0.5 ซีซี โดยอาจให้ร่วมกับวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ( MMR) หรือสามารถจะฉีดวัคซีนในช่วงใดก็ได้ ถ้ายังไม่เคยเป็นไข้อีสุกอีใสมาก่อน 
        2. เด็กที่มีอายุมากกว่า 13 ปี หรือผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 4-8 สัปดาห์ 
        3. หลังฉีดวัคซีน สามารถป้องกันโรคนี้ ได้ถึง ร้อยละ 94-100 ในเด็กปกติ และในผู้ใหญ่ จะป้องกันโรคนี้ได้ถึงร้อยละ 80 
        4. ค่าใช้จ่ายในการฉีดต่อครั้ง ประมาณ 1,250 บาทต่อเข็ม ( ราคาทุน ของวัคซีนประมาณ 800 กว่าบาท ) 
        5. ไม่แนะนำ หรือห้ามฉีดในคนที่มีประวัติแพ้ยา neomycin หญิงมีครรภ์ และให้นมบุตร ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะอาจทำให้เกิดโรคนี้ได้ แทนที่จะป้องกันโรค 
    เรียบเรียงใหม่ โดยนพ. จรัสพล รินทระ ..................11/06/2001

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=8&sdata=&col_id=42

อัพเดทล่าสุด