ทำอย่างไร..เมื่อจุดซ่อนเร้นของคุณสาวๆ มีปัญหา


1,454 ผู้ชม


อาการระคายเคือง แสบ คัน ของจุดซ่อนเร้นอาจสร้างความรำคาญใจให้คุณสาวๆ แน่เลยใช่ไหมล่ะค่ะ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปถ้าคุณสาวๆ รู้จักป้องกัน และดูแลรักษาตัวเองจุดซ่อนเร้นของคุณน่ะค่ะ         อาการระคายเคือง แสบ คัน ของจุดซ่อนเร้นอาจสร้างความรำคาญใจให้คุณสาวๆ แน่เลยใช่ไหมล่ะค่ะ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปถ้าคุณสาวๆ รู้จักป้องกัน และดูแลรักษาตัวเองจุดซ่อนเร้นของคุณน่ะค่ะ 

ทำอย่างไร..เมื่อจุดซ่อนเร้นของมีปัญหา?

จุดซ่อนเร้นเป็นอวัยวะที่มีความละเอียดอ่อน และมักสัมผัสกับความ ชื้นตลอดเวลา อีกทั้งเป็นอวัยวะที่เชื่อมต่อกับระบบขับถ่ายและระบบสืบพันธุ์ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสัมผัสหรือแพร่กระจายเชื้อโรคได้มาก

เมื่อเป็นแบบนี้ปัญหาใดบ้างที่เจ้าของร่างกายควรสังเกตและปรึกษาสูตินรีแพทย์อย่างเร่งด่วน รวมถึงมีวิธีใดที่สามารถป้องกันหรือแก้ไขเองในเบื้องต้น เรามีคำแนะนำดีๆ มาบอกกันค่ะ

อาการอย่างไรที่บ่งบอกว่าน่าจะติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อ?

การติดเชื้อที่จุดซ่อนเร้นแบ่งออกได้หลายระดับแตกต่างกันไป บางครั้งหากไม่ตรวจอย่างละเอียด หรือไม่ทันสังเกตก็จะไม่รู้ถึงความผิดปกติ แต่ถ้ารอให้มีอาการก็มักจะเป็นมากและมีภาวะแทรกซ้อนของโรคไปแล้ว แต่อาการเบื้องต้นที่เป็นสัญญาเตือนได้ว่าคุณน่าจะติดเชื้อ ได้แก่
  • คันบริเวณปากช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีสีน้ำตาลเข้มปนเลือด 
  • เจ็บแสบขัดเมื่อถ่ายปัสสาวะ หรือเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • มีไข้ และปวดท้องน้อยบริเวณที่ต่ำกว่าสะดือ และอาจปวดร้าวมาถึงหลัง
  • มีแผลตื้นๆ หรือตุ่มน้ำบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
อาการที่กล่าวเบื้องต้นมักเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่มีการป้องกันที่ดี นั่นคือการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย สำส่อนทางเพศประเภท one night stand การไม่สวมถุงยางอนามัย ทำให้มีการแพร่เชื้อต่อๆ กัน ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองใน แผลริมอ่อน แบคทีเรียทริโคโมนาส การติดเชื้อทางไวรัส เป็นหูดหงอนไก่ เป็นต้น เมื่อสังเกตถึงความผิดปกติก็มักเป็นมาก ดังนั้นวิธีการแก้ไขที่ดีและถูกต้องคือ การไปพบสูตินรีแพทย์ทันที เพราะยิ่งเร็วเท่าไรนั่นหมายถึงเวลารักษาและความรุนแรงก็จะทุเลาลง
อาการเตือนอื่นๆ ที่ก่อความรำคาญ แต่แก้ได้ง่าย 
เพราะปัญหาที่เกิดกับจุดซ่อนเร้นอาจไม่ได้จำกัดอยู่แต่ภายในเท่านั้น แต่อาจเกิดบริเวณภายนอกรอบๆ ที่ทำให้เกิดความรำคาญไม่น้อย เช่น
  • อาการคัน หรือระคายเคืองบริเวณปากช่องคลอด 
  • ตกขาวเปลี่ยนจากสีขาวขุ่น เป็นมูกสีเหลืองหรือสีเขียว 
  • มีผื่นแดง รู้สึกแสบร้อนบริเวณเนื้ออ่อนรอบๆ อวัยวะเพศ หรือขาหนีบ
อาการเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมาจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่เกิดการใช้ชีวิตประจำวันด้วย โดยอาจเป็นการติดเชื้อรา หรือผิวหนังบริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดการแพ้สารเคมีบางอย่าง ทำให้อักเสบ โดยสาเหตุหลักๆ ก็มาจาก
  • การสวมกางเกงในที่ไม่ระบายอากาศ การใส่กางเกงแฟชั่นรัดมากแบบจีสตริง หรือมีเนื้อผ้าหนาไป ทำให้เหงื่อระเหยช้า เกิดความอับชื้น และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
  • การสวมกางเกงชั้นในที่ซักไม่สะอาด มีสารตกค้างของสารซักฟอก หรือตากไม่แห้ง มีเชื้อรา
  • การแพ้สารเคมีในผ้าหรือแผ่นอนามัย
  • การลืมเปลี่ยนผ้าหรือแผ่นอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง 
  • การรักษาความสะอาดมากไป ด้วยการใช้สบู่ที่เป็นด่างมากๆ ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นทำให้สภาพปากช่องคลอดมีความเป็นกรดตามธรรมชาติลดลง ทำให้เกิดอาการคันระคายเคือง
  • การใช้กระดาษชำระที่มีน้ำหอม หรือมีลายสีสันสดใส ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
  • การทาแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้น ซึ่งสูตินรีแพทย์ไม่แนะนำให้ทา เพราะอาจเกิดการแพ้ และเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่หากทาบริเวณจุดซ่อนเร้นโดยตรง
  • การกินยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น เช่น ยาฆ่าเชื้อไวรัสเมื่อเป็นหวัดเป็นเวลานาน
ปัญหาจุดซ่อนเร้นเป็นเรื่องที่สาวๆ ต้องใส่ใจให้มาก เพราะหากเกิดอาการหรือสิ่งผิดปกติขึ้นแล้ว ตัวเองจะเป็นคนที่รำคาญและทุกข์ที่สุดค่ะ 
การดูแลจุดซ่อนเร้นที่ถูกต้อง
แม้จุดซ่อนเร้นจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากด้วยสรีระตามธรรมชาติ แต่หากสาวน้อยสาวใหญ่ดูแลและทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นได้อย่างถูกต้อง แบบไม่มากหรือน้อยเกินไป โอกาสที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ก็ย่อมลดลง นั่นคือ
  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย
  • การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้น ด้วยการล้างด้วยน้ำเปล่า หรือช่วงมีประจำเดือนอาจใช้สบู่อ่อนๆ ได้บ้างแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ แต่ไม่ควรใช้สายชำระทำการสวนล้างช่องคลอด ซับให้แห้งและใส่กางเกงในผ้าฝ้าย หากต้องใส่ผ้าอนามัยและรู้สึกไม่สบายหรืออับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจใช้วาสลีนหรือยูเรียช่วยทาเคลือบผิวและเปลี่ยนแผ่นอนามัยบ่อยๆ ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อนหากไม่จำเป็น เพราะพบว่าทำให้เกิดการอับชื้น ก่อให้เกิดการติดเชื้อรา หรือมีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อยๆ

ที่มา : https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2765&sub_id=103&ref_main_id=2

อัพเดทล่าสุด