| - โลกปัจจุบัน เต็มไปด้วยมลพิษ ทั้ง น้ำ และอากาศ ดิน อาหาร ทุกอย่างล้วนมี โอกาสที่จะปนเปื้อนสารพิษ โลหะหนักได้ สารพิษโ
|
ลหะหนักพบได้ในวัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง ยารักษาโรค อาหารที่ผ่านกระบวนการ ต่าง ๆ แหล่งเชื้อเพลิงผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเซลล์ทำให้ความสามารถในการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดความเสื่อมสภาพของอวัยวะในร่างกายอย่างต่อเนื่อง - Chelation Therapy คืออะไร?
Chleation คือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด (ให้น้ำเกลือ) ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนักเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือ แม้แต่แคลเซี่ยมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ และพอกอยู่ ตามผนังหลอดเลือดของเรา เพื่อขจัดออก จากระบบปัสสาวะ ระยะเวลาในการให้น้ำเกลือแต่ละครั้ง ประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง ระหว่างที่ให้น้ำเกลือสามารถ พักผ่อน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตาม ปกติธรรมดา ภายหลังจากการเสร็จการรักษาสามารถ ประกอบกิจกรรมได้ตามปกติไม่จำเป็นต้องนอนพัก - Chelation Therapy มีกลไกการรักษาอย่างไร ?
EDTA จะไปจับกับโลหะหนัก เช่น เหล็ก และ แคลเซี่ยม ซึ่งสะสมพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดให้ไหลเวียนออกมาในกระแสเลือด รวมไปถึงโลหะหนักเป็นพิษที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อร่างกายด้วย นอกจากนี้ วิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระในขนาดที่เรียกว่า Megadose (ขนาดมากพอที่จะส่งผลในการรักษา) ก็จะไปรักษาหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดดีขึ้น เส้นเลือดจะไม่ตีบตัน EDTA เป็นกรดอะมิโนที่ค้นพบเมื่อปี 1930 โดยชาวเยอรมัน Franz Munz ซึ่งต่อมาได้จดทะเบียนสำหรับเป็นยารักษาภาวะโลหะหนักสะสมในร่างกาย ต่อมาในราวปี 1950 แพทย์สังเกตุพบว่า ผู้ป่วยที่มารักษาภาวะพิษตะกั่วในโลหะด้วย EDTA และมีโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันอยู่ด้วย กลับมีอาการของโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันดีขึ้น จึงนำมาสู่การศึกษากว้างขวางและในที่สุด ได้มีการใช้ EDTA Chelation เพื่อการรักษาความผิดปกติของผนังหลอดเลือดด้วย นอกเหนือจากพิษโลหะและพิษสะสม - Chelation Therapy มีประโยชน์อย่างไร
1. ขจัดสารพิษตกข้างในร่างกายและระบบหลอดเลือด 2. ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง 3. ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น 4. ลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบแคบซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด 5. ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี - Chelation Therapy เหมาะกับใคร
1. ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือคนในบ้านในที่ทำงานสูบ ฯลฯ 2. ผู้ที่มีปัญหาพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย 3. ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ 4. ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น 5. ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือด ตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัวและ ต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต 6. ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด,ใส่ขดลวด,ทำบายพาส มาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เร็ว ๆ นี้ การทำคีเลชั่น จะลดปัญหาเหล่านั้นได้ - ขั้นตอนในการทำ Chelation Therapy
1. พบแพทย์เพื่อซักถามประวัติและตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต และจะมีการคำนวณปริมาณยาที่เหมาะสมเป็น รายบุคคล 2. ทำการตรวจ LAB พื้นฐานเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ตรวจหน้าที่ของไต เป็นต้น 3. ทำการตรวจวิเคราะห์ผลเลือด (Live Blood Analysis) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากสามารถบ่งบอก ภาวะของเลือด ในขณะที่เซลล์ยังมีชีวิตซึ่งสามารถประเมินภาวะของร่างกายได้หลากหลายครอบคลุมในหลายๆ โรค ซึ่งรายละเอียดของการตรวจ Live Blood Analysis ได้เขียนบทความไว้แล้วที่นี่ https://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=10&col_id=361 4. ทำการบำบัดด้วย คีเลชั่นบำบัดตามสูตรยาที่เหมาะสม แก่ผู้เข้ารับการบำบัดแต่ละราย 5. นัดติดตามผลเป็นระยะ ซึ่งระยะเวลาขึ้นกับลักษณะของโรคที่เรามีปัญหาอยู่ - ผลข้างเคียงจากการทำ Chelation Therapy
ระยะแรกบางท่านอาจมีอาการอ่อนเพลีย อันเนื่องจากกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย อาการที่เกิดขึ้น แก้ได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำผลไม้และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามความ ต้องการของร่างกาย - ค่าใช้จ่ายในทำ Chelation Therapy 3,500 บาทต่อครั้ง หรือคอร์ส 5 ครั้ง 14,000 บาท ปกติจะทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 10 ครั้ง แล้วค่อยเว้นระยะการทำ แล้วแต่แพทย์นัด ควรทำประมาณ 2 คอร์ส เป็นอย่างน้อย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือต้องการรับการรักษาได้ที่นี่ CLINICNEO BY Dr.Jarasphol โทร .02-653-2211-12
เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ…………02 April,2010 |
ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=10&sdata=&col_id=362