Update! นวัตกรรมปรับหน้าให้เรียวเล็ก


906 ผู้ชม


  • ใบหน้าของคนเรานั้น มีความแตกต่างกันตามเชื้อชาติและกรรมพันธุ์ โดยพบว่าชาวตะวันตก(ยุโรป-อเมริกา) จะมีโครงหน้าใหญ่ใ�
��ส่วนบน และส่วนล่างจะเล็กลง สมส่วน ขณะที่ชาวตะวันออก(เอเชีย) จะมีสัดส่วนของใบหน้าส่วนล่างหรือกรามใหญ่กว่าส่วนกลางและส่วนบน ทำให้หน้าดูเหลี่ยม ซึ่งปัจจุบันนี้ เทรน ที่กำลังฮิตมาแรง ก็คือพยายามจะปรับรูปหน้าของตนเองให้เหมือนคนตะวันตกมากขึ้น ดังนั้นจึงได้เกิดนวัตกรรมทางด้านความงามใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการและก่อให้เกิดประสิทธิผลที่พึงพอใจ ผู้เขียนได้พบคนไข้มากมาย ที่มาพบเพื่อจะขอให้ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่ช่วยให้สมใจนึกได้ จึงจะรวบรวมสรุปวิธีการต่างๆ ในปัจจุบันในบทความเดียว เพื่อจะได้เข้าใจได้มากขึ้น ดังนี้
  • เมื่อคนไข้ต้องการจะปรับหน้าเรียว ก่อนอื่น แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโครงหน้าก่อนว่าเดิมนั้น โครงหน้าของคนไข้มีสัดส่วนอย่างไร อะไรคือวัตถุประสงค์ที่คนไข้ต้องการ แล้วก็จะตรวจหาสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่ไม่ต้องการ และต้องการจะปรับเปลี่ยน ซึ่งก็จะพบว่า คนเรามีโครงหน้าได้หลากหลายแบบ ส่วนประกอบของหน้าส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนล่าง ส่วนใดส่วนหนึ่งมากหรือน้อยเกินไปหรือไม่ หรือเกิดจากหลายๆ ส่วนรวมกันก็ได้ ซึ่งพอจะสรุปสาเหตุและการแก้ไขปัญหาหน้าใหญ่ หน้าบาน หน้าเหลี่ยม ได้ดังนี้
  • สาเหตุของโครงหน้าเหลี่ยมที่ไม่สมส่วน ของคนเอเชีย พอจะแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้ 
    1. สาเหตุจากกระดูก : เกิดจากกระดูกขากรรไกรที่ใหญ่และกางออกเห็นเป็นมุมชัดเจน การตรวจง่ายๆ ก็คือจะคลำได้กระดูกแข็ง เมื่อกัดฟันหรือยิ้ม จะคงรูป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง 
    การแก้ไข : แพทย์จะแนะนำให้ทำศํลยกรรมผ่าตัดกระดูกขากรรไกรหรือกระดูกกรามตรงมุมออก เพื่อลดขนาดของกระดูกกรามให้เล็ก และเหลี่ยมลดลง ซึ่งเป็นวิธีการรักษามาตรฐาน และต้องอาศัยศัลยแพทย์ตกแต่งในการทำการผ่าตัด โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับการดมยาขณะผ่าตัด แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องผลหลังผ่าตัด เช่น การต้องพักรักษาตัว แผลเป็นจากการผ่าตัด การบาดเจ็บต่อเส้นประสาทใบหน้า เป็นต้น จึงทำให้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันมากนัก 
    2. สาเหตุจากกล้ามเนื้อ : โดยพบว่าส่วนมากแล้ว คนเอเซียจะมีปัญหาหน้าบาน หน้าใหญ่จากสาเหตุนี้มากกว่าสาเหตุอื่นๆ เนื่องจากกรรมพันธุ์ เชื้อชาติ การรับประทานที่ออกแรงเคี้ยวนานๆ เช่นหมากฝรั่ง ขนมขบเคี้ยว หรือนอนกัดฟัน จึงทำให้กล้ามเนื้อ Masseter เกิดการโตขึ้น ที่เรียกว่า Masseteric Hypertrophy หรือ Square Jaw ซึ่งจะทดสอบได้โดยง่าย โดยให้ผู้ป่วยกัดฟันทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน แล้วใช้มือคลำดูบริเวณกล้ามเนื้อกรามสองข้าง หรือข้างแก้ม ถ้าพบว่าก้อนกล้ามเนื้อมีขนาดโตขึ้นดันฝ่ามือออกมาเมื่อทำการกัดฟัน ก็แสดงว่าสาเหตุนี้มาจากกล้ามเนื้อมากกว่ากระดูก ซึ่งอาจจะพบว่ากล้ามเนื้อกรามทั้งสองข้าง อาจจะมีขนาดไม่เท่ากันได้ ซึ่งอาจจะมีผลจากนิสัยการเคี้ยวอาหารไม่เท่ากัน ข้างที่ถนัดกว่า ก็จะเคี้ยวมากกว่า ทำให้กล้ามเนื้อข้างนั้นโตกว่าปกติได้ 
    การแก้ไข : สามารถฉีดยา Botulinum toxin-A หรือเรียกอีกอย่างว่า Botox เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลงและบางลง โดยแพทย์จะฉีดบริเวณกล้ามเนื้อกราม Masseter ข้างละ 5 จุดๆ ละ 4-6 ยูนิต แล้วแต่ขนาดของกล้ามเนื้อโตมากน้อยแค่ไหน Botox มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงจากยามีน้อยมากๆ โดยถ้าฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์แทบจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เลย อาจจะพบเพียงรู้สึกเมื่อยๆ กราม หลังฉีดอาทิตย์ที่ 1-2 พบว่าหลังฉีดเพียง 4-6 อาทิตย์ กล้ามเนื้อจะเริ่มเล็กลงให้เห็นหน้าเรียวได้ชัดเจน และออกฤทธิ์เต็มที่ในเดือนที่ 3 ดังนั้นบางคนจะฉีดซ้ำในเดือนที่ 3-6 แล้วแต่ขนาดกล้ามเนื้อจะเริ่มกลับมาโตอีกเมื่อไหร่ ซึ่งจริงๆ คนไข้สามารถจะทดสอบได้เองง่าย โดยการวางฝ่ามือที่แก้มสองข้าง แล้วกัดฟันดู ถ้าเริ่มมีก้อนนูนๆ ดันฝ่ามือออกมา แสดงว่ากล้ามเนื้อกรามเริ่มกลับมาโตใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณให้กลับมาพบแพทย์เพื่อฉีดโบทอกซ์ซ้ำ พบว่าบางคน หลังฉีดไป 2-3 ครั้ง อาจจะเล็กลงได้ถาวร ถ้าควบคุมหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเคี้ยวอาหารใหม่ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่https://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&col_id=264 อีกวิธีหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อเล็กลง ก็โดยการผ่าตัด แต่ไม่เป็นที่นิยม เพราะมีผลข้างเคียงตามมามากกว่า และมีโอกาสเสี่ยงหลายอย่าง 
    ปัจจุบัน Botulinum toxin-A ในท้องตลาดมีหลากหลายยี่ห้อ แต่ที่นิยมกันทั่วโลก ก็คือยีห้อ Botox ของบริษัท Allergan จากอเมริกา เพราะได้ผลมากสุด เร็ว และปลอดภัยสูง เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ ในปัจจุบัน ( ซึ่งที่คลินิกนีโอ ก็ใช้แต่ยี่ห้อนี้ยี่ห้อเดียว ตรวจสอบได้) ก่อนฉีดควรตรวจสอบขวด จะเป็นขวดสีม่วง 
    3. สาเหตุจากไขมัน : หากแพทย์ตรวจพบว่า ใบหน้าเหลี่ยม หน้าบาน จากเนื้อเยื่อไขมัน ที่แก้ม หนาและมีปริมาณมาก โดยจะตรวจง่ายๆ โดยให้ผู้ป่วยกัดฟันทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน แล้วใช้มือคลำดูบริเวณกล้ามเนื้อกรามสองข้าง หรือข้างแก้ม ถ้าพบว่าก้อนกล้ามเนื้อมีขนาดไม่โตขึ้น แต่เมื่อยิ้มแล้วแก้มยุ้ยมากขึ้น แสดงว่าสาเหตุมาจากไขมัน มากกว่า กล้ามเนื้อกรามโต 
    การแก้ไข : ปัจจุบันมีการทำให้ไขมันที่ใบหน้าลดลงได้หลายวิธีดังนี้ 
    3. 1. การฉีดสลายไขมันด้วยยา ( Medical Lipolysis) ที่เรียกว่า Mesotherapy หรือ Mesofat โดยแพทย์จะใช้เข็มฉีดยา ฉีดส่งยาเข้าไปที่แก้ม ซึ่งยาจะมีสรรพคุณสลายไขมันที่สะสมในชั้นไขมันให้แตกตัวออกเป็นไขมันเหลว (Fatty acid ) แล้วไขมันเหลวดังกล่าวจะขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ หรือทำให้เซลล์ไขมันมีขนาดเล็กลง โดยใช้กลุ่มยาหลายๆ ตัว เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ โดยปริมาณที่ฉีด 0.02-0.05 ซีซี ห่างกัน ทุก 1-2 ตร.ซม. โดยฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมัน ตั้งแต่ 0.1 มม -0.2 มม. คนไข้อาจจะเจ็บกว่าการฉีดโบทอกซ์ เพราะฉีดในชั้นไขมันที่มีเซลล์ประสาทมากกว่า และตัวยาก็อาจจะแสบระคายเคืองผิวหลังฉีด อาจจะพบรอยฟกช้ำหลังฉีดได้บ้าง ถ้าฉีดโดนเส้นเลือดฝอยที่ใบหน้า ส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นผลหลังฉีดประมาณ 2-3 อาทิตย์ (ปกติจะฉีดอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง) ปกติไขมันที่สลายไป จะไม่กลับมาอีก ถ้าควบคุมน้ำหนักและไขมันส่วนเกิน มิให้กลับมาสะสมใหม่ วิธีนี้เป็นที่นิยมกันมากทั้งในยุโรปและอเมริกา เพราะถือว่าปลอดภัย ไม่มีผลทำให้เซลล์ไขมันตาย (Fat cell death) ผลข้างเคียงน้อยมาก โดยเฉพาะถ้าแพทย์เลือกตัวยาที่ผ่านการรับรองจาก FDA แล้ว นอกจากนี้การทำ Mesotherapy หรือ Mesofat ยังสามารถใช้กับบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้อีก อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่https://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=5&col_id=355 
    3. 2. การสลายไขมันด้วยการทำ Carboxytherapy เป็นการรักษาและขจัดไขมันส่วนเกินที่แก้ม โดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ เข้าไปที่ชั้นไขมัน ก๊าซที่ฉีดเข้าไป จะละลายกับน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นกรดคาร์บอนิค แล้วมีการปล่อยออกซิเจนจาก Hemoglomin mark ทำให้แคลเซียมไปจับกับกรดคาร์บอนิค ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด แล้วเข้าไปทำลายเซลล์ไขมันให้แตกออก แล้วขับไขมันออกจากร่างกาย ปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยม เนื่องจากเจ็บมากกว่าการฉีดยาสลายไขมันหลายเท่า และหลังทำคนไข้อาจจะมีอาการแก้มบวมป่อง เป็นเวลา 1-3 วัน ทำให้ไม่สามารถไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมการทำ Carboxytherapy ได้ที่นี่ https://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&sdata=carboxy&col_id=311 
    3. 3. การสลายไขมันด้วยการทำ Radiofrequecy(RF) พบว่าการทำ RF ร่วมด้วย จะช่วยรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น และทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้มากขึ้น ลดการหย่อนคล้อยหลังฉีด โดย หลักการทำงานของ RF ได้เขียนบทความไว้แล้วที่นี่https://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&col_id=350 
    3. 3. การสลายไขมันด้วยการทำเลเซอร์ พบว่า การใช้ Laser Lipolysis กับไขมันบริเวณใบหน้า ไม่เป็นทีนิยมนัก เนื่องจากว่าเลเซอร์มีพลังงานความร้อนสูง อาจจะมีผลทำให้เซลล์ไขมันตายได้ (Fat cell death) ทำให้เกิดการอักเสบหลังทำได้มากกว่า และโอกาสเกิดพังผืด(Fibrosis) สูง อันเป็นสาเหตุให้การลดลงของไขมันไม่สม่ำเสมอ เป็นรอยบุ๋มเป็นจุดๆ ได้
  • จากประสบการณ์มากมายของผุ้เขียน เท่าที่รวบรวมนวัตกรรมการปรับหน้าเรียวเล็กในปัจจุบัน นี้ ก็คงมีเท่านี้นะครับ ซึ่งการจะทำด้วยวิธีใดบ้าง แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถวินิจฉัยและให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับท่านได้ ว่าควรจะรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายๆ วิธีควบคู่กัน สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกนีโอ โทร 02-6532211-2 
    เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ 
    ปรับปรุงข้อมุลล่าสุด.................25 October,2010

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=9&sdata=&col_id=367

อัพเดทล่าสุด