วิธีลดหน้าท้อง วิธีลดหน้าท้องแบบเร่งด่วน แบบฟรีๆ ง่ายๆ
เวลาพูดถึงการลดหน้าท้อง หลายๆ คนอาจจะนึกว่ามีแค่การลดไข้มันหน้าท้อง หรือการควบคุมน้ำหนักเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้เราดูมีหน้าท้องอ้วนอืดนั้นมีอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ “แก๊สในทางเดินอาหาร” ค่ะ
แก๊สในทางเดินอาหารนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาการท้องผูก อาหารเป็นพิษ พฤติกรรมการกินที่เร่งรีบ และผลที่ตามมาก็จะเป็นพุงกลมๆ (ที่ยังไม่นับไขมัน) ซึ่งหากเรากำจัดเจ้าพุงลมนี้ไปได้ เผลอๆ หน้าท้องของคุณจะลดลงไปเป็นนิ้วทั้งที่ยังไม่ต้องเริ่มลดน้ำหนักเลยด้วยซ้ำ ส่วนวิธีการจะมีอย่างไรบ้างนั้น ตามอ่านได้ด้านล่างเลยค่ะ
No.1 ทานอาหารที่มีเส้นใย
คนที่มีการขับถ่ายไม่ค่อยดี หรือมีอาการท้องผูกลองสังเกตดูว่าพุงจะโตกว่าเวลาปกติ สาเหตุก็เนื่องมาจากมีแก๊สอยู่ในทางเดินอาหารอยู่เยอะ รวมถึงมีอะไรคั่งค้างอยู่ในลำไส้ทำให้ท้องอืดบวม ทานอะไรเข้าไปใหม่ก็ย่อยได้ไม่เต็มที่
วิธีแก้ก็ง่ายๆ ค่ะพยายามทานผักผลไม้เพื่อช่วยในการขับถ่าย ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว และหัดถ่ายตอนเช้าให้เป็นนิสัย เพราะช่วงเวลานั้นลำไส้ใหญ่จะบีบตัวได้ดี ทำให้คุณขับถ่ายได้ง่ายขึ้นค่ะ
No.2 ระวังอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือการแพ้น้ำตาลแลคโตส
เวลาที่เราเกิดอาการอาหารเป็นพิษ แก๊สในทางเดินอาหารจะเยอะทำให้ท้องอืดบวม จุดนี้ส่วนมากถ้าพักผ่อนและปรับนิสัยการกินก็จะหายไปได้เอง ส่วนใครที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองแพ้อะไรบ้าง หรือเป็นหนัก ก็ควรไปปรึกษาคุณหมอค่ะ อย่าวินิจฉัยด้วยตัวเองว่าเราน่าจะแพ้อะไรบ้าง
การแพ้อาหารอีกอย่างที่มักจะไม่รุนแรงนักคือการแพ้น้ำตาลแลคโตสในนม ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ ทำให้จุลินทรีย์ในลำไส้เข้ามาย่อยสลายจนเกิดเป็นกรดและแก๊ส (ซึ่งทำใหเกิดพุงลมในเวลาต่อมา) แต่การแพ้นี้ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายต่อร่างกายนะคะ จริงๆ แล้วคนไทยนั้นแพ้แลคโตสกันเกือบๆ 90% เลยทีเดียว ทำให้หลังทานนมเราอาจเกิดอาการท้องอืดหรือเรอขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องเลิกทานนมไปเลย (ไม่แนะนำด้วย) เพียงแต่ให้ดื่มทีละน้อยๆ และดื่มในขณะที่ท้องไม่ว่าง หรือจะเลือกทานผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการหมัก เช่น โยเกิร์ต ก็จะช่วยลดการเกิดแก๊สได้ค่ะ
No.3 ทานอาหารให้ช้าลง
เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ทานอย่างช้าๆ จะช่วยลดการเกิดลมในกระเพาะได้ และจะช่วยให้กระเพาะอาหารสามารถย่อยอาหารให้ดีขึ้นด้วย นอกจากนั้นการทานอาหารทีละช้าๆ จะช่วยให้เราทานได้น้อยลงด้วย เพราะกระเพาะอาหารจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้สึกอิ่ม ถ้าเรารีบทานไปตอนที่ยังหิวๆ บางครั้งเราก็อาจเผลอทานอาหารมากกว่าปริมาณที่เราต้องการจริงๆ ไปก็ได้ค่ะ
No.4 ลดละ(หรือเลิก)น้ำอัดลม
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นน้ำที่มีการอัดแก๊สเข้าไป จึงเป็นที่แน่นอนว่าทานเข้าไปแล้วคุณต้องได้ลมเพิ่มในทางเดินอาหารแน่นอน นอกจากนั้นน้ำอัดลมยังมีน้ำตาลในปริมาณสูงมากกกก ประมาณ 2 เท่าของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ดังนั้นถ้าเราลดน้ำลมลงได้ นอกจากลดพุงลมแล้วก็ยังลดน้ำหนักได้จริงๆ อีกด้วยล่ะค่ะ
No.5 อย่าเคี้ยวหมากฝรั่งเยอะเกินไป
บางคนอาจชอบเคี้ยวหมากฝรั่งไว้ทดแทนความอยากทานขนม หรือช่วยเรื่องโรคกรดไหลย้อน เพียงแต่ถ้าคุณเคี้ยวมากเกินไปมันก็จะก่อให้เกิดลมในทางเดินอาหารได้ (ซึ่งมักเกี่ยวพันกับอาการอาหารไม่ย่อย) ดังนั้นใครที่เคี้ยวตลอดเวลาก็ควรหยุดพักบ้าง แล้วเปลี่ยนมาทานของคบเคี้ยวไขมัน + น้ำตาลต่ำ หรือของว่างจำพวกผลไม้แทน
No.6 ระวังอาหารประเภท “Sugar Free”
ฉลากอาหารประเภท Sugar Free ส่วนมากจะหมายถึงการ “ปราศจากซูโครส” แต่ยังมีน้ำตาลแบบอื่นๆ อยู่ด้วย โดยเฉพาะน้ำตาลแอลกอฮอลล์ ที่อาจจะดูเหมือนไม่ทำให้คุณอ้วน แต่ความจริงแล้วถ้าคุณทานมากๆ ก็มีส่วนก่อให้เกิดพุงลมได้เช่นกันค่ะ นอกจากนั้น หากทานมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน ยังอาจก่อให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ได้ด้วย
การทานผลิตภัณฑ์ Sugar Free หรือการใช้สารทดแทนความหวานแทนน้ำตาล ควรจำกัดอยู่แค่อาหารประเภทเครื่องดื่มเท่านั้น และไม่ควรทานเกิน 2-3 แก้วต่อวัน
No.7 ทานเกลือให้น้อยลง
อาหารรสเค็ม โดยเฉพาะอาหารที่ทำจากเกลือส่งเสริมให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ง่าย และมีส่วนทำให้เกิดสิวด้วย จำกัดปริมาณไว้ที่ไม่เกิน 1,500 – 2,300 mg ต่อวันจะดีต่อหน้าท้อง และไตของเราอีกด้วยค่ะ
No.8 ทานอาหารให้บ่อยมื้อขึ้น แต่ลดปริมาณ
ข้อนี้นอกจากลดแก๊ส และยังช่วยลดน้ำหนักด้วย หั่นอาหารมื้อใหญ่ๆ 3 มื้อให้เป็นมื้อย่อยประมาณ 5 – 6 มื้อ (ดูปริมาณแคลอรีต่อมื้อให้ดีด้วย) ระวังอาหารจำพวกไขมันทรานส์อย่าให้มีมากเกินไป เชื่อได้ว่าหน้าท้องคุณต้องยุบแน่ๆ ค่ะ
N0.9 ทานอาหารที่ช่วยลดการเกิดแก๊ส
เคยมีการศึกษาพบว่า ชาเปปเปอร์มินท์ ขิงหรือน้ำขิง โยเกิร์ต และสับปะรด มีแบคทีเรียที่ดีบางชนิดอยู่ซึ่งจะช่วยลดอาการพุงป่องลงได้ แนะนำให้ลองทานอาหารเหล่านี้หลังมื้ออาหาร หรือทานเป็นของว่างดูนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก goodlywomen.com ค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก goodlywomen.com ค่ะ