วิธีออกกำลังกายของคนเป็นโรคหอบหืด ยา รักษา โรค หอบหืด การ รักษา โรค หอบหืด


3,491 ผู้ชม


วิธีออกกำลังกายของคนเป็นโรคหอบหืด ยา รักษา โรค หอบหืด การ รักษา โรค หอบหืด

 

โรคหอบหืด 
กับ..การดูแลตนเอง

      โรคหอบหืด เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม มีผลทำให้ผนังหลอดมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ และสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนปกติ พบได้ในคนทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยผู้สูงอายุ และพบมากในคนที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว
อาการ
      - ไอ แน่นหน้าอก- เสมหะมาก- หายใจมีเสียงหวีด หรือหอบเหนื่อย อาการเหล่านี้อาจหายไปได้เองหรือไปเมื่อได้รับยาขยายหลอดลม
สาเหตุ หรือสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืด
      - สารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง , เกสรดอกไม้ , ขนสัตว์ , อาหารทะเลบางชนิด- ควันพิษและมลพิษอื่น ๆ เช่น ควันบุหรี่ สารเคมี หรือฝุ่นในโรงงานอุตสาหกรรม- ความเย็น ความชื้น- การติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น ติดเชื้อไวรัส- ความเครียด 

การดำเนินของโรค
      ภาวะหอบหืด ทำให้มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม หลอดลมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งแวดล้อมมากกว่าปกติ เกิดมีการหดเกร็งตัวของหลอดลม เยื่อบุหลอดลมบวม และมีการขับเมือกออกมา ซึ่งถ้าเป็นรุนแรง อาจก่อให้เกิดการหายใจล้มเหลว และสมรรถภาพการทำงานของปอดลดลง
การรักษา
      ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหอบหืด เป็นยาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการให้ดี ทุเลาขึ้น มีทั้งยาที่ออกฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ และ/หรือ ขยายหลอดลม ซึ่งมีในรูป 

ยาหอบหืดที่ควรรู้จัก
       คือ1. ยาขยายหลอดลม จะใช้เมื่อมีอาการจับหอบ เพื่อบรรเทาอาการอย่างรวดเร็ว ยานี้ช่วยเปิดช่องทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ยาออกฤทธิ์ภายใน 5-10 นาที และออกฤทธิ์อยู่ประมาณ 4-6 ชั่วโมง
อาการข้างเคียงของยา
       ยาขยายหลอดลมชนิดพ่นสูด ไม่ค่อยมีอาการข้างเคียงใด ๆ เพราะยาออกฤทธิ์โดยตรง ต่อปอด ตัวอย่างยาที่ใช้- กลุ่มเบต้า อะโกนิสต์ เช่น Salbutamol (Ventolin) Terbulatine (Bricanyl)- กลุ่มแอนตี้โคลิเนอจิกส์ เช่น Ipratropium Bromide2. ยาควบคุมป้องกัน (Inhaled Carticosteroids) ยาชนิดนี้ ควรใช้ทุกวัน แม้ไม่มีอาการหอบ ต้องใช้พ่นสูด " ตามเวลาที่แพทย์สั่ง " ถ้าหยุดยาเอง อาการอาจกลับกำเริบ และถ้าพ่นขณะหอบ ยาจะไม่ช่วยให้อาการทุเลายากลุ่มนี้ใช้ควบคุม และป้องกันการบวม หรือการอักเสบของหลอดลม เพราะการบวมเป็นสาเหตุให้หลอดลมตีบแคบ มีเสมหะ หายใจลำบาก
อาการข้างเคียงของยา
       การใช้ยา อาจเกิดอาการระคายคอ เสียงแหบแห้ง ควรบ้วนปากด้วยน้ำหลังพ่นสูดยา แต่ละครั้ง ยาสเตียรอยด์ แม้จะเข้าสู่ร่างกายปริมาณน้อย แต่ก็สามารถรักษาอาการหอบหืดได้ ตัวอย่างยาที่ใช้- Beclomethasone (Beclofote) (Becotide)- Budesonide (Pulmicort)
ข้อสังเกต เพื่อป้องกันการหยิบใช้ยาผิดประเภท
      - ยาพ่นสูดทุกวัน ตัวหลอดมักเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาล- ยาพ่นสูดเมื่อจับหอบ ตัวหลอดมักเป็นสีฟ้าหรือสีเทาหรือสีน้ำเงิน 

การสังเกตอาการตนเองอาการปกติ
      - ปฏิบัติงาน และออกกำลังได้ปกติ- นอนหลับได้ตลอดคืน
อาการกำเริบ
      - ไม่สามารถปฏิบัติงานตามปกติ- ตื่นมาหอบตอนกลางคืน- พ่นยาขยายหลอดลมบ่อยขึ้น- ได้ยินเสียงหวีดเวลาหายใจออก
อาการรุนแรง
      - ไอหอบมาก- แน่นหน้าอก หายใจไม่เข้าปอด- ไม่สามารถพูดให้จบประโยค- อาการกระสับกระส่าย- อาการเกิดรุนแรง และเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
การดูแลตนเอง
       เนื่องจากโรคหอบหืดเป็นโรคเรื้อรัง มีผลกระทบต่อ ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม การรู้จักดูแลตนเองที่ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยลดภาวะหืดหอบที่รุนแรง ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข การดูแลตนเองเมื่อเริ่มมีอาการ ย่อมดีกว่าเมื่อทิ้งไว้นาน และการป้องกันควบคุมมิให้มีอาการจับหืด ย่อมดีที่สุดโดย1. หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ หรือสารก่อภูมแพ้ เช่น ขนสัตว์ ฝุ่นในบ้านหรือที่นอน ควันบุหรี่ อาหารทะเล ฯลฯ2. ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยในการละลายเสมหะ3. ผู้ป่วยโรคหอบหืดจำนวนมากไม่สามารถจะออกกำลังกายได้ดี หรือได้มากเท่า คนปกติ โดยจะเหนื่อย แน่นหน้าอกขึ้นมาภายหลังจากการออกกำลังกายไปพักหนึ่ง4. ออกกำลังกาย ควรทำสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง อาจทำโดยถีบจักรยาน , เดิน , ว่ายน้ำ เป็นต้น และเมื่อมีอาการหอบ ควรหยุดออกกำลังกายทันที ดังนั้นก่อนการออกกำลังกาย อาจต้องใช้ยาขยายหลอดลม 5-10 นาที ก่อนการออกกำลังกาย และสังเกตตนเองว่าการออกกำลังกายประเภทใดทำให้เหนื่อยง่าย จึงควรออกกำลังกาย แต่พอควร และสม่ำเสมอ5. ฝึกหายใจที่ถูกต้อง เพื่อช่วยลดความรุนแรงขณะมีอาการหอบหืดได้ โดยการหายใจเข้าออกลึก ๆ ยาว ๆ ทางปาก6. กินยา หรือพ่นยาตรงตามการรักษาของแพทย์ ไม่ควรหยุดยาเอง เมื่ออาการเริ่มดีขึ้น ทำให้โรคกำเริบได้7. ฝึกการบริหารปอด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหายใจ8. ควรพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อได้รับการตรวจสมรรถภาพของปอด เป็นระยะ 

ท่าที่ช่วยในการบริหารปอด
       ได้แก่
ท่าที่ 1
     ท่าหายใจด้วยท้อง หรือกระบังลม นอนหงายกับพื้น วางต้นแขนทั้ง 2 แนบลำตัว วางมือบนอก และท้อง งอเข่า 2 ข้าง- สูดหายใจเข้าลึก ๆ ทางจมูก ให้หน้าท้องป่องออก และหน้าอกมีการเคลื่อนไหวน้อยมาก- ผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ ผ่านทางไรฟัน ในขณะที่ปากเผยอออกเพียงเล็กน้อย
ท่าที่ 2 ท่าพักเหนื่อย จะช่วยให้เหนื่อยน้อยลง เมื่อหายใจไม่ค่อยสะดวก- นั่งพัก เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย- วางข้อศอกบนเข่า 2 ข้าง หายใจ เข้าและออกช้า ๆ หรือวิธี- นั่งพับเพียบ หมอนวางบนตัก-วางแขน และซบหน้าลงบนหมอน
ท่าที่ 3 ท่าโน้มตัว- นั่งบนเก้าอี้ แล้วโน้มตัวลง มือแตะพื้นขณะหายใจออก- กลับยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ แยกเป็นตัว V ขณะหายใจเข้า
ท่าที่ 4

- มือ 2 ข้างประสานท้ายทอย ยกมือลงเอาศอกชิดกัน ขณะหายใจออก กางข้อศอก ขณะหายใจเข้า

ท่าที่ 5 ใช้ไม้เท้าในท่ายกแขน 2 ข้างขึ้น ขณะหายใจเข้าแล้วยกลงในขณะหายใจออก 


การพ่นยาที่ถูกวิธี

        การพ่นยาที่ถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทา และป้องกันอาการได้ ยาที่นิยมใช้ คือ ยาในรูปยาพ่นสูด 

วิธีการใช้ยาพ่นสูด ควรปฏิบัติดังนี้
      1. เปิดฝาครอบออก2. เขย่ากระบอกยา 4-5 ครั้ง ก่อนสูดดม3. หายใจออก4. ถือกระบอกยาไว้ในลักษณะ กันขวดยาจะหันขึ้นข้างบน อมปากกระบอกยา และหุบปากให้สนิท5. กดก้นกระบอกยาลงจนสุด 1 ครั้ง พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทางปากให้ละอองของยาเข้าไปในปอดช้า ๆ จนสุดการหายใจแล้ว กลั้นหายใจประมาณ 5-10 วินาที อาจโดยนับ 1-10 ในใจ6. เมื่อครบเวลา จึงนำกระบอกยาออกจากปาก แล้วหายใจออกช้า ๆ นับเป็นการพ่นสูดยา 1 ครั้ง7. เมื่อใช้เสร็จแล้ว สวมฝาปิดไว้ดังเดิมถ้าต้องการใช้ยาขยายหลอดลมพ่นซ้ำอีก ควรใช้หลังจากการสูดดมยาครั้งแรกประมาณ 1 นาที สำหรับในผู้ป่วยบางราย เช่น เด็ก หรือผู้สูงอายุ ที่ไม่สามารถสอนให้สูดดมยาตามวิธีดังกล่าวข้างต้นได้ การใช้หลอดต่อเข้ากับกระบอกพ่นยา ซึ่งทำให้การใช้ยามีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องรอจังหวะการพ่นกับการสูดหายใจ จึงช่วยให้การใช้ยาง่ายขึ้น1. ถอดฝาครอบออก2. สวมหลอดต่อกระบอกพ่นยา (โดยใช้ช่องเปิดทางด้านกว้าง) ฝาป้องกันฝุ่นสวมเข้าหลอดต่อทางปลายด้านเล็กอีกข้างหนึ่ง3. เขย่ากระบอกยาให้ยาเข้ากันได้ดี กดก้นกระบอกยาลงจนสุด 1 ครั้ง4. รีบถอดฝาป้องกันฝุ่นออก อมปลายหลอดต่อให้แน่น พร้อมสูดยาในหลอดต่อเข้าปากช้า ๆให้ลึกที่สุด5. กลั้นหายใจชั่วครู่ (2-3 วินาที)6. ถอดหลอดต่อออกจากกระบอกพ่นยา และปิดฝาเข้ากับกระบอกพ่นดังเดิม

ข้อมูล : หน่วยพัฒนาสุขภาพ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

แหล่งที่มา : https://kanchanapisek.or.th

อัพเดทล่าสุด