ตับอ่อนอักเสบ อาการตับอ่อนอักเสบ สาเหตุของการโรคตับอ่อนอักเสบ


1,780 ผู้ชม


ตับอ่อนอักเสบ อาการตับอ่อนอักเสบ สาเหตุของการโรคตับอ่อนอักเสบ

ตับอ่อนอักเสบ
โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ

 
         ตับอ่อน (pancreas) เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ลักษณะเป็นต่อมขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางด้านหลังของกระเพาะอาหาร ใกล้กับลำไส้เล็กส่วนดูโอดินัม ซึ่งเป็นลำไส้เล็กส่วนต้น ตับอ่อนทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการผลิตเอนไซม์ไว้ย่อยอาหาร โดยหลั่งน้ำย่อยเข้าไปในลำไส้เล็ก ผ่านทางท่อตับอ่อน หรือที่เรียกว่า pancreatic duct 

หน้าที่สำคัญๆ ของตับอ่อน

1. สร้างน้ำย่อย :น้ำย่อยจัดเป็นเอ็นซัยม์ที่ย่อยสลายไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตในอาหาร โดยปกติน้ำย่อยที่สร้างจากตับอ่อนจะยังไม่ออกฤทธิ์ จนกระทั่งเมื่อถูกหลั่งเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนดูโอดินัม จึงจะเริ่มทำหน้าที่ย่อยสารอาหารไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อใดก็ตามที่เอ็นซัยม์ หรือน้ำย่อยเหล่านั้นออกฤทธิ์ภายในตับอ่อน หรือถูกกระตุ้นให้เข้าสู่ภาวะ active ก็จะเหมือนกับว่าน้ำย่อยที่สร้างมาจากตับอ่อน กำลังทำการย่อยเนื้อตับอ่อนเอง ทำให้เกิดพยาธิสภาพขึ้น ปรากฎอาการและอาการแสดงที่ชัดเจน

2. สร้างฮอร์โมน :ตับอ่อนทำหน้าที่ สร้างฮอร์โมนอินสุลิน (insulin) และกลูคากอน (glucagon) โดยเมื่อสังเคราะห์อินสุลินและกลูคากอนแล้ว ก็จะหลั่งเข้าไปในกระแสเลือดทันที ฮอร์โมนทั้งสองทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด

อาการและอาการแสดงของโรคตับอ่อน

ได้แก่ ปวดท้อง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ถ่ายอุจจาระเป็นมัน น้ำหนักตัวลด กล้ามเนื้อลีบลง ตาเหลือง เบาหวาน และร่างกายอ่อนแอลง ส่วนการสูญเสียของต่อมไร้ท่อจากตับอ่อน ให้ประเมินในส่วนของระบบต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม โดยทั่วไปถ้าตับอ่อนทำงานไม่ปกติ จะเกิดเป็นโรคเบาหวาน หรือมีความผิดปกติของการย่อย ดูดซึมอาหาร ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องเสีย อุจจาระมีกลิ่นเหม็น ขาว เบา ลอยน้ำ หรืออุจจาระเป็นน้ำ และผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้อง น้ำหนักลด

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  1. การตรวจอัลตราซาวด์
  2. การตรวจทางรังสีวิทยา ได้แก่ ภาพรังสีช่องท้อง เอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ และการส่องกล้องตรวจภายในช่องท้อง
  3. การเจาะดูดเนื้อตับอ่อนด้วยเข็มขนาดเล็ก
  4. การวัดระดับน้ำตาลในเลือด
  5. การวัดระดับเอ็นซัยม์ของตับอ่อนในเลือด ปัสสาวะ และอุจจาระ
  6. การวัดอีเล็กโตรไลท์จากเหงื่อ


การประเมินการสูญเสียสมรรถภาพของตับอ่อน

ระดับที่ 1 - สูญเสียสมรรถภาพร้อยละ 0-9 ของทั้งร่างกาย ผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงของโรคตับอ่อน หรือมีการสูญเสีย หรือผิดปกติทางกายวิภาค ส่วนใหญ่ไม่ต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีน้ำหนักตัวอยู่ในค่าเฉลี่ยของคนปกติ โรคที่เป็นได้รับการรักษาอย่างถูกต้องแล้ว ไม่พบการสูญเสียหน้าที่การทำงานของตับอ่อน แม้จะมีอาการบ้างเป็นครั้งคราว ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ

ระดับที่ 2 - สูญเสียสมรรถภาพร้อยละ 10-24 ของทั้งร่างกาย ผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงของโรคตับอ่อน หรือมีการสูญเสีย หรือผิดปกติทางกายวิภาค โดยต้องจำกัดอาหารและต้องใช้ยาเพื่อควบคุมอาการและอาการแสดง หรือรักษาภาวะทุโภชนาการ น้ำหนักตัวลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของคนปกติไม่เกินร้อยละ 10 การดำรงชีวิตประจำวันมีผลกระทบไม่มากนัก

ระดับที่ 3 - สูญเสียสมรรถภาพร้อยละ 25-49 ของทั้งร่างกาย ผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงของโรคตับอ่อน หรือมีการสูญเสีย หรือผิดปกติทางกายวิภาค ต้องจำกัดอาหารและต้องใช้ยาที่ถูกต้อง แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมอาการและอาการแสดงและรักษาภาวะทุโภชนาการได้เต็มที่ หรือน้ำหนักตัวลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของคนปกติร้อยละ 10-20 จากโรคตับอ่อน ร่วมกับการสูญเสียจากการเกิดเบาหวาน

ระดับที่ 4 - สูญเสียสมรรถภาพร้อยละ 50-75 ของทั้งร่างกาย ผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงของโรคตับอ่อนอย่างชัดเจน หรือมีการสูญเสีย หรือเปลี่ยนแปลง ทางกายวิภาคของตับอ่อน ไม่สามารถควบคุมอาการต่างๆได้ด้วยการรักษาอย่างเต็มที่แล้ว หรือน้ำหนักลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของคนปกติมากกว่าร้อยละ 20 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะผิดปกติของตับอ่อนอย่างชัดเจน ความสามารถในการดำรงชีวิตประจำวันของผู้ป่วยรายนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากสูญเสียตับอ่อนไปทั้งหมดและความพิการที่เกิดขึ้นก็ทุเลาได้เพียงบางส่วน จากการให้การรักษาอย่างเต็มที่แล้ว

ตับอ่อนอักเสบ


โรคตับอ่อนอักเสบ เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก
 แต่ในรายที่เป็นรุนแรง ถือเป็นภาวะที่ร้ายแรงและมีอัตราตายค่อนข้างสูง พบได้บ่อยในคนที่ดื่มเหล้าจัด โรคตับอ่อนอักเสบ แบ่งออกเป็นสองชนิด คือ ชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง ชนิดเฉียบพลันเกิดขึ้นทันทีทันใด ส่วนใหญ่อาการจะเป็นอยู่ไม่นาน และมักจะทุเลาดีขึ้นได้เอง บางรายอาจพบว่าอาการรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดโรคแทรกซ้อน ส่วนโรคตับอ่อนอักเสบชนิดเรื้อรังนั้นอาการจะไม่หายขาด เป็นเพราะสาเหตุสำคัญเนื่องจากเกิดการทำลายเนื้อตับอ่อนอย่างต่อเนื่อง

สาเหตุของการอักเสบ

เป็นผลมาจากการรั่วของน้ำย่อยของตับอ่อนเองออกมาที่เนื้อเยื่อบางส่วนของตับอ่อน แต่ด้วยสาเหตุใดยังไม่ทราบแน่ชัด โรคนี้มักพบในผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี และในคนที่ดื่มสุราจัด ส่วนน้อยอาจเป็นโรคแทรกของคางทูม หรือเกิดร่วมกับโรคต่อมพาราไทรอยด์ทำงานน้อย การได้รับบาดเจ็บที่ช่องท้อง การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะประเภทไทอาไซด์ บางครั้งไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด

โรคตับอ่อนอักเสบชนิดเฉียบพลัน

โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน เรียกว่า acute pancreatitis ส่วนใหญ่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ หรือจากนิ่วในระบบทางเดินน้ำดี ผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน จะมีอาการภายหลังอาหารมื้อหนักๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง และทันทีทันใด อาการปวดท้องตอนแรกจะเป็นที่ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา ปวดมาก ร่วมกับอาการอาเจียน คลื่นไส้ อาการปวดอาจร้าวไปหลัง และต่อมาอาการปวดอาจลามไปทั่วท้อง ผู้ป่วยอาจมีไข้ด้วย

อาการปวดท้องจะไม่ค่อยเหมือนอาการปวดของแผลเป็บติก ซึ่งจะปวดแบบรำคาญ มากกว่ารุนแรง ไม่นานเท่า ไม่มีไข้ ไม่ค่อยอาเจียน ผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วในระบบทางเดินน้ำดี แต่ไม่เป็นถึงโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน จะมีอาการปวดท้องที่รุนแรงเหมือนกัน แต่อาจปวด 3 ชั่วโมงแล้วดีขึ้น แล้วปวดใหม่ ส่วนโรคตับอ่อนอักเสบจะปวดตลอดเวลาจนหายซึ่งอาจใช้เวลา 3-7 วัน แล้วแต่เป็นมากน้อย และอาการปวดอาจลามไปหลังได้ ผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันอาจสบายขึ้น ถ้าผู้ป่วยนั่งบนเตียงแทนที่จะนอนราบ

อาการปวดท้องรุนแรงตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ซึ่งมักจะเกิดขึ้นทันทีทันใด บางคนอาจมีประวัติดื่มเหล้าจัด หรือกินเลี้ยงมาก่อนสัก 12-24 ชั่วโมง และปวดตลอดเวลา มักปวดร้าวไปที่หลังเวลานอนหงายหรือเคลื่อนไหว มักทำให้ปวดมากขึ้น แต่จะรู้สึกสบายขึ้นเวลานั่งโก้งโค้ง ผู้ป่วยมักมีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอาการอ่อนเพลียมาก มีจ้ำเขียวขึ้นที่หน้าท้อง หรือรอบ ๆ สะดือ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ มือเท้าเกร็ง และอาจมีภาวะช็อก กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยอาศัยลักษณะอาการดังกล่าว ร่วมกับผลการตรวจเลือด พบระดับของเอ็นซัยม์อะมัยเลส (amylase) และ ไลเปส (lipase) สูงกว่าปกติอย่างน้อยสามเท่า การตรวจเลือดช่วยวินิจฉัยได้เป็นอย่างมาก แต่ก็ยังต้องนึกถึงภาวะอื่นๆ ประกอบด้วยเสมอ นอกจากตรวจเลือดแล้ว การตรวจอัลตร้าซาวน์และเอ็กเรย์คอมพิวเตอร์ ก็ช่วยในการวินิจฉัยเพิ่มเติมเช่นกัน โดยผลอัลตร้าซาวน์อาจพบนิ่วในถุงน้ำดี ในขณะที่ผลการตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ อาจพบถุงน้ำเทียมภายในเนื้อตับอ่อน การเลือกส่งตรวจเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับลักษณะอาการของผู้ป่วย และข้อบ่งชี้เป็นสำคัญ

แนวทางการรักษา


การรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปถ้าไม่เกิดภาวะไตล้อมเหลว หรือปอดล้มเหลว โรคนี้มักทุเลาหายได้เอง หลักสำคัญอยู่ที่รักษาสมดุลของร่างกาย ความดันโลหิต ปริมาณสารน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย รวมทั้งป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนใหญ่แพทย์จะรับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อประเมินความรุนแรง ติดตามความเปลี่ยนแปลงของอาการ และทดแทนสารน้ำทางหลอดเลือดให้ทันท่วงที การรักษาขึ้นอยู่กับการอดอาหารทางปาก การใส่สายยางเข้าไปในกระเพาะอาหารเพื่อดูดน้ำย่อยกระเพาะอาหารออกมา เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกโอ้กอ้าก การให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะโรคนี้ ตับอ่อนจะมีลักษณะคล้ายถูกไฟไหม้ จะมีซีรั่มเลือดออกจากตับอ่อนอย่างน้อย 2 ลิตรขึ้นไป และถ้าปวดมากอาจต้องให้ยาระงับอาการปวด

ในกรณีที่เกิดถุงน้ำเทียม (pseudocyst) แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดรักษา หากพบนิ่วในถุงน้ำดี ก็อาจต้องพิจารณาผ่าตัดเช่นกัน ส่วนจะผ่าตัดเมื่อใดขึ้นกับความรุนแรงของภาวะตับอ่อนอักเสบ ที่สำคัญที่สุด คือ ผู้ป่วยต้องงดเหล้าอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นอาการอักเสบจะกลับมากำเริบได้อีก ถ้าผู้ป่วยกลายเป็นตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง มีอาการปวดท้องตรงใต้ลิ้นปี่ หรือชายโครงด้านซ้าย และปวดร้าวไปที่บั้นเอวด้านซ้าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก มีลมในท้อง น้ำหนักลด อาจปวดอยู่นาน ไม่กี่ชั่วโมง หรือเป็นสัปดาห์ อาจทำให้กลายเป็นเบาหวานได้ ดังนั้นผู้ป่วยโรคนี้ ควรติดต่อรักษากับแพทย์ตามนัดอย่าได้ขาด หากกลายเป็นเรื้อรัง หรือมีเบาหวานแทรกซ้อนจะได้รักษาเสียแต่เนิ่นๆ

อาการแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดภาวะไตวาย ปอดบวมน้ำ ฝีของตับอ่อน ถุงน้ำในช่องท้อง ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคตับอ่อนอักเสบทั้งสองชนิด สามารถก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ ในรายที่รุนแรงอาจพบปัญหาเลือดออก เนื้อตับอ่อนถูกทำลายเป็นจำนวนมาก และอาจเกิดภาวะติดเชื้อแทรกซ้อนได้ บางครั้งภายในเนื้อตับอ่อน เกิดมีน้ำและเนื้อที่ตายแล้วสะสมรวมตัวกันเป็นถุงน้ำเทียม (pseudocysts) ก่อให้เกิดความเสียหาย นอกจากนี้พบว่า เอ็นซัยม์ น้ำย่อย สารพิษ บางส่วนที่เข้าสู่กระแสเลือด ยังก่อให้เกิดอันตรายแก่อวัยวะสำคัญ หัวใจ ปอด ไต และอวัยวะอื่นๆ ได้เช่นกัน

ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง บางคนเกิดภาวะตับอ่อนอักเสบได้หลายครั้ง แต่ละครั้งเวลาหายจะหายสนิท แต่ในรายที่รุนแรง พบภาวะแทรกซ้อนได้เช่นกัน โดยเฉลี่ยผู้ป่วยหนึ่งในห้ารายจ 




แหล่งที่มา : 108health.com

อัพเดทล่าสุด