เกมส์ทําอาหารเกาหลี เกมทําอาหารเกาหลี อาหารเกาหลี มีอะไรบ้าง
เอาใจคนรักอาหารเกาหลีด้วยมินิรีวิวร้านอาหารเกาหลีตรงต้นปากซอยสุขุมวิท 24 นี้เอง
วันนี้จะเอาใจคนรักอาหารเกาหลีด้วยมินิรีวิวร้านอาหารเกาหลีตรงต้นปากซอย สุขุมวิท 24 นี้เอง ชื่อร้านว่า The Bibimbab เห็นชื่อแล้วก็คงจะรู้เลยว่าอาหารจานเด็ดของร้านนี้คืออะไร
ร้าน The Bibimbab ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางออกห้างเอ็มโพเรียมด้านที่ติดกับซอยสุขุมวิท 24 ครับ ตัวร้านหาไม่ยากเลย เพราะติดกระจกไว้สว่างตา ภายนอกร้านจะเห็นป้ายชื่อสดใสชัดเจน ดูเป็นอาหารเกาหลีที่ทันสมัย และผิดแนวไปจากร้านเกาหลีแบบบ้านๆ ที่เราจะรู้จักกันใน Korean Town
เมื่อเข้าไปในร้านจะเป็นบรรยากาศที่น่าเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งจริงๆ เพราะรู้สึกได้ว่าเป็นมิตร ในร้านเลือกใช้ไฟสีโทนอุ่น ส่วนผนังและโต๊ะ-เก้าอี้ล้วนแต่เป็นสีไม้ ให้ความรู้สึกเป็นตะวันออกชอบกล ส่วนด้านติดผนังเป็นที่นั่งบุนวมสีเขียวอ่อน มีโทรทัศน์จอแบนเล่นวิดีโออธิบายวิธีการประกอบร่างข้าวยำเป็นฉากๆ เราเข้าไปนั่งกันที่โต๊ะชิดกับส่วนครัว มองเห็นวิวข้างนอกกระจกร้านเห็นการจราจรอัมพาตในซอยสุขุมวิท 24 ยามเย็น ก็ทำให้รู้สึกดีกว่าเป็นไหนๆ ที่ได้เข้ามานั่งเย็นๆ สบายๆ ในร้านนี้
เพราะไปกันแค่สามคน แถมสองในสามก็เป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ เราจึงเลือกที่จะสั่งอาหารกันมาแค่ 4 จานครับ แล้วเอามาแบ่งกันกิน
มื้อนี้ดื่มน้ำเปล่า และน้ำเปล่าก็ต้องเป็นยี่ห้อ The Bibimbab ซะด้วย เท่จริงๆ
เมื่อสั่งไปได้สักพัก ทางร้านก็เอาเครื่องเคียงตามธรรมเนียมร้านอาหารเกาหลีมาเสิร์ฟให้ (เรียกเครื่องเคียงโดยรวมว่า banchan นะครับ) มีทั้งหมด 4 อย่าง คือ ไข่เจียวม้วน กิมจิผักกาดขาว ปลาข้าวสารผัดเค็ม และบร็อคโคลีราดซอสเผ็ด รสชาติทำมาได้กลางๆ ดี ช่วยเรียกน้ำย่อยได้โอเคเลย
ถ้ามาร้านนี้แล้วไม่สั่งบิบิมบับมาชิมก็คงจะมาเสียเที่ยว จานแรกที่มาเสิร์ฟจึงเป็น Bulgogi bibimbab (220 บาท) เป็นข้าวยำในชามหินร้อนแบบเกาหลี ราดหน้ามาด้วยเนื้อหมักย่าง มีเครื่องหลากหลายชนิด ทั้งถั่วงอกยำ ซูกินี แครอท เห็ด พุทราจีน สาหร่าย ปวยเล้ง แปะก๊วย ผักกูด และแท่งวุ้นสีขาวๆ
ทางร้านเสิร์ฟโคจูจังและน้ำมันงามาให้ด้วย เพื่อให้เราใส่ได้ตามใจชอบ เมื่อใส่ซอสจนหนำใจแล้ว ก็ไม่รอช้ารีบคลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะกดข้าวให้ติดกับชามข้าวเพื่อรอให้ข้าวไหม้กรอบเป็นข้าวตัง (อร่อยจริงๆ)
ส่วนบิบิมบับจานที่ 2 เป็น Nakji bibimbab (220 บาท) เป็นข้าวยำชามร้อนเหมือนกัน แต่คราวนี้เปลี่ยนเครื่องตรงกลางจากเนื้อย่าง เป็นหมึกยักษ์ผัดซอสแทน เราไม่รอช้ารีบคลุกและกดข้าวให้เหมือนกับจานแรก
เมื่อชิมทั้งสองจานก็พบว่าเป็นข้าวยำที่อร่อยดี ตัวซอสโคจูจังนั้นออกไปทางรสเค็ม ฉะนั้นถ้าใส่มากข้าวยำก็จะรสชาติเค็มตามขึ้นไปด้วย ความหลากหลายของเครื่องเคียงพวกผักที่ใส่มาในข้าวยำแต่ละชนิดนั้นก็เยอะดี จริง แต่ด้วยความที่ทั้งสองจานแทบไม่ต่างกันเลย ยกเว้นแค่โปรตีนตรงกลางเท่านั้น จึงคิดว่าสั่งมาแค่จานเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว ถ้าจะให้เลือกจริงๆ บิบิมบับเนื้อชนะแน่นอนครับ
จานต่อมาเป็น Dakbokkeimtang (260 บาท) เป็นสตูไก่รสเผ็ดที่เคี่ยวในน้ำซุปรสจัดจ้านกับผักทั้งต้นหอมญี่ปุ่น แครอท และมันฝรั่ง เราพบว่าไก่ที่ว่านั้นเป็นปีกไก่ ซึ่งทำให้การกินลำบากมากครับ แต่สตูที่เสิร์ฟมาในชามหินร้อน (อีกแล้ว) ทำให้จานนี้ร้อนคงที่ได้ใจมากๆ ส่วนตัวน้ำซุปนั้นอาจจะเผ็ดไม่มากอย่างที่คิด แต่มีกลิ่นหอมดีจริง ลืมบอกไปว่าจานนี้เสิร์ฟมาพร้อมข้าว 1 ถ้วย ซึ่งเหมือนว่าจะอิ่มเพราะสองจานก่อนหน้าไปแล้ว เลยต้องขอบาย
จานสุดท้ายที่เราได้สั่งมาชิมเป็น Kimchijeon (200 บาท) เป็นแป้งทอดใส่ผักนานาชนิดรสกิมจิ หลายๆ คนจะเรียกไปว่าเป็นแพนเค้กเกาหลี สั่งที่ชอบเกี่ยวกับจานนี้คือมันเสิร์ฟมาพร้อมกับจานร้อนที่ทำให้แพนเค้กไม่ มาเย็นชืดบนโต๊ะ และตัวแป้งนั้นมีความกรอบมากๆ เรียกได้ว่าไม่มีอารมณ์ค้างเพราะแป้งเหนียวแน่นอน แต่ที่น่าเสียดายคือส่วนตัวอยากจะให้มีรสของกิมจิที่ชัดเจนกว่านี้ครับ แต่พอเอาโคจูจังที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ใส่บิบิมบับลองเอามากินกับกิมจิจอนดู ก็พบว่าพอแก้ขัดไปได้แฮะ!
ร้านนี้ไม่มีของหวานครับ แต่ถึงจะมีก็อาจจะไม่เหลือท้องในกระเพาะให้ใส่แล้ว เพราะอิ่มกันมากจริงๆ 555
โดยรวมร้าน The Bibimbab เป็นร้านอาหารเกาหลีที่น่าสนใจร้านหนึ่งครับ และด้วยความที่ร้านนำเสนออาหารในรูปแบบที่ทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย จึงเชื่อว่าจะทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารเกาหลีเข้าใจได้ไม่ยากและไม่คิด ลังเลที่จะเข้ามาลองชิมครับ
แหล่งที่มา : tourdefoodblog.com