เจ็บหน้าอก หายใจแล้วเจ็บหน้าอก ไอจนเจ็บหน้าอก
เจ็บหน้าอก (Chest pain)
บทนำ
เจ็บหน้าอก หรือ แน่นหน้าอก หรือ เจ็บแน่นหน้าอก (Chest pain) เป็นอาการ ไม่ใช่โรค คือ การเจ็บ/ปวดด้านหน้าและด้านในของทรวงอก ไม่ใช่เจ็บ/ปวดส่วนด้านหลังของทรวงอก
อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการพบบ่อยอีกอาการหนึ่ง พบได้ประมาณ 1-2% ของอาการทั้งหมดที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ โดยพบได้ในทุกอายุ แต่พบบ่อยขึ้นในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ผู้หญิงและผู้ชาย มีโอกาสเกิดอาการนี้ได้ใกล้เคียงกัน
อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากอะไร?
อาการเจ็บหน้าอกเกิดได้จาก 6 สาเหตุหลัก คือ
- จากโรคหัวใจ ที่พบบ่อย คือ จากโรคหลอดเลือดหัวใจ
- จากโรคของปอด เช่น โรคปอดบวม ภาวะหลอดเลือดอุดตันในปอด (ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ) และ โรคมะเร็งปอด
- จากโรคของอวัยวะในช่องท้อง เช่น โรคกรดไหลย้อน (ไหลกลับ) โรคกระเพาะอาหารอักเสบ มีแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้ (ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย/ธาตุพิการ) ถุงน้ำ ดีอักเสบ และโรคนิ่วในถุงน้ำดี
- จากโรคของกระดูกและกล้ามเนื้อลำคอและทรวงอก เช่น โรคกระดูกคอเสื่อม โรคของกล้ามเนื้อหน้าอก หรือโรคกระดูกซี่โครงอักเสบ
- จากโรคงูสวัดที่เกิดในส่วนผิวหนังหน้าอก
- ปัญหาทางอารมณ์ จิตใจ เช่น เครียด กังวล โกรธ กลัว และ/หรือจากการเรียกร้องความสนใจ
มีอาการอื่นร่วมกับเจ็บหน้าอกไหม?
อาการอื่นๆที่อาจเกิดร่วมกับการเจ็บหน้าอก ขึ้นกับสาเหตุ ซึ่งอาการร่วมเหล่านี้ แพทย์ใช้เป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยหาสาเหตุได้
- สาเหตุจากโรคหัวใจ อาการมักเป็นการเจ็บแน่น บีบ กลางหน้าอก มักปวดร้าวไปยังไหล่ แขน หรือกรามด้านซ้าย (แต่พบปวดร้าวมาด้านขวาของอวัยวะดังกล่าวได้) หัวใจเต้นเร็ว เบา มีเหงื่อออกมาก หน้ามืด เป็นลม
- สาเหตุจากโรคของปอด มักร่วมกับอาการ ไอ มีเสมหะ มีไข้ มักเจ็บบริเวณด้านหน้าของหน้าอกด้านที่มีโรคแต่ไม่ใช่ตรงกลางอก และมักไม่มีการปวดร้าวไปยังตำแหน่งอื่นๆ หอบ เหนื่อย หายใจลำบาก เมื่อมีอาการมาก มือ เท้า ลำตัว อาจเขียวคล้ำจากร่างกายขาดออกซิเจน
- สาเหตุจากอวัยวะในช่องท้อง มักเป็นอาการจุกเสียด เมื่อเกิดจากโรคของกระเพาะอา หาร หรือมีอาการแสบร้อนกลางอกเมื่อเกิดจากโรคกรดไหลย้อน อาการเจ็บ มักเคลื่อนตำแหน่งได้เมื่อเปลี่ยนท่าทางหากเกิดจากมีแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งอาการจะดีขึ้นเมื่อ เรอ หรือ ผายลม ถ้าเกิดจากโรคนิ่วในถุงน้ำดี มักเป็นอาการเจ็บใต้ชายโครงขวาซึ่งเป็นตำแหน่งของถุงน้ำดี และอาจมีไข้ต่ำๆ
- จากโรคของกระดูก กล้ามเนื้อลำคอ และกล้ามเนื้อทรวงอก มักสัมพันธ์กับการงานอาชีพที่ใช้ คอ ไหล่มาก เช่น งานคอมพิวเตอร์ หรือมีประวัติอุบัติเหตุบริเวณลำคอ หรือบริเวณทรวงอก อาจร่วมกับแขน ด้านนั้นชา และ/หรือ อ่อนแรง
- จากโรคงูสวัด มักมีอาการเจ็บเป็นแนวยาวรอบลำตัว ร่วมกับมีผื่นแดง หรือ ตุ่มน้ำเป็นกระจุก หรือ ตามแนวเส้นประสาท (ตามแนวยาวรอบลำตัว)
- ปัญหาทางอารมณ์ จิตใจ มักมีประวัติปัญหาชีวิต หรือ ปัญหาครอบครัว
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุเจ็บหน้าอกได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุอาการเจ็บหน้าอกได้จาก ประวัติอาการต่างๆ ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีตและในปัจจุบัน การตรวจร่างกาย ที่สำคัญคือ การตรวจเพื่อแยกว่า เป็นอาการจากโรคหัวใจหรือไม่ เพราะเป็นอาการเจ็บหน้าอกที่นำไปสู่การเสียชีวิตได้ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการตรวจเอกซเรย์ภาพปอดและหัวใจ นอกจากนั้นคือ การตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้น กับ อาการร่วมต่างๆ ความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ เช่น เอกซเรย์คอม พิวเตอร์ช่องอกเมื่อผู้ป่วยเจ็บหน้าอกร่วมกับไอเป็นเลือด และแพทย์สงสัยสาเหตุเกิดจากโรคมะเร็งปอด เป็นต้น
รักษาอาการเจ็บหน้าอกอย่างไร?
แนวทางการรักษาอาการเจ็บหน้าอก คือ การรักษาสาเหตุ เช่น รักษาโรคหัวใจเมื่ออาการเกิดจากโรคหัวใจ รักษาโรคปอดบวม เมื่ออาการเกิดจากปอดบวม และรักษาโรคกรดไหลย้อนเมื่ออาการเกิดจากโรคกรดไหลย้อน
อาการเจ็บหน้าอกรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
ความรุนแรง และผลข้างเคียงของอาการเจ็บหน้าอก ขึ้นกับสาเหตุ ซึ่งจะรุนแรงเมื่ออา การเกิดจากโรคหัวใจ แต่จะรุนแรงน้อยกว่ามากเมื่อเกิดจากโรคงูสวัด หรือโรคกรดไหลย้อน
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง การพบแพทย์เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก คือ
- เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกมาก รุนแรง เฉียบพลัน ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน
- รีบพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หายใจลำ บาก ร่วมกับมีไข้ ไอมีเสมหะ และ/หรือไอเป็นเลือด
- อาจรอจน 2-3 วันได้เมื่อมีการเจ็บหน้าอกไม่มาก แต่เจ็บเรื้อรัง
ป้องกันอาการเจ็บหน้าอกได้อย่างไร?
การป้องกันอาการเจ็บหน้าอก คือ การป้องกันสาเหตุจากโรคต่างๆดังได้กล่าวแล้วที่ป้องกันได้ เช่น การป้องกัน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกรดไหลย้อน โรคปอดบวม และดูแลปัญหาด้านอารมณ์จิตใจ ด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่แข็งแรง
บรรณานุกรม
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- Cayley, W. (2005). Diagnosing the cause of chest pain. Am Fam Physician. 72, 2012-2021.
- Chest pain. https://en.wikipedia.org/wiki/Chest_pain [2012, April 10].
- Chon, J., and Chon, P. (2002). Chest pain. Circulation.106, 530-531.
แหล่งที่มา : haamor.com