การฝึกโยคะด้วยตนเอง การเล่นโยคะเบื่องต้น ท่าฝึกโยคะพื้นฐาน การเล่นโยคะเพื่อสุขภาพ
โยคะ ศาสตร์สุขภาพและปัญญา
ถ้าดูเรื่องสุขภาพ อาจจะแบ่งเป็นสุขภาพเสียกับสุขภาพดี สุขภาพดีจะเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ เรื่องสุขภาพเสียเป็นส่วนหนึ่งที่การแพทย์แผนปัจจุบันเกี่ยวข้องอยู่ไม่มากเมื่อเทียบกับสุขภาพเสียหรือสุขภาพทั้งหมด (ดังภาพที่ ๑)
ส่วนมุมซ้ายบนของภาพ คือการแพทย์แผนปัจจุบัน เกี่ยวข้องกับสุขภาพเสียแต่ส่วนเดียวเท่านั้น และเป็นส่วนน้อย ส่วนน้อยนั้นคือส่วนที่เป็นโรคที่นิยามได้ชัดเจน ยังมีส่วนที่สุขภาพเสียที่การแพทย์แผนปัจจุบันไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน หาอะไรก็ไม่เจอ แต่คนไข้ไม่สบาย
เนื่องจากนิยามของการแพทย์แผนปัจจุบันได้เข้าไปสู่ในส่วนที่เป็นกลไกทางกายเท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนน้อยหากเทียบกับระบบสุขภาพทั้งหมด เพราขณะนี้การแพทย์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพมีอยู่เพียงนิดเดียว (ดังภาพ)
หากใช้แนวคิดเรื่อง “สมดุล” ความสมดุลของกาย ใจ สังคม ปัญญา สภาวะสมดุลคือปกติภาพ คือทุกอย่างในตัวเรา สมดุลพร้อมกันเป็นปกติ ส่วนการเป็นโรค การไม่สบาย คือการเสียสมดุล
โยคะนั้นคือวิธีการที่ทำให้เกิดดุลยภาพ เพราะฉะนั้นโยคะต้องเกี่ยวข้องกับสุขภาพทั้งหมด โดยดุลยภาพคือสุขภาพ โยคะนั้นเข้าไปแตะทุกส่วนได้อย่างเหมาะสม (ดังภาพที่ ๒)
ยาที่ขายดีที่สุดในโลกขณะนี้คือยาเกี่ยวกับความเครียด มี ๓ ชนิด คือ ยากล่อมประสาท ยาลดความดันเลือด ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร ยาทั้ง ๓ ขนานเกี่ยวกับความเครียดทั้งสิ้น ความเครียดเต็มไปหมดทั้งโลกในขณะนี้ ด้วยวิ๔การดำรงชีวิต วิถีเศรษฐกิจที่เอาเงินเป็นตัวตั้ง และเงินจำนวนมหาศาลที่วิ่งอยู่รอบด้วยความเร็วของแสง ก่อให้เกิดความเครียดเต็มโลกไปหมด
มนุษย์ในปัจจุบันมีคนเปรียบเทียบว่าเหมือนสุนัขวิ่งอยู่บนทางด่วน และลงไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร วิ่งไปอย่างนั้นแหละเหนื่อยจนตัวตาย
ฉะนั้น เมื่อมีความเครียดแล้วออกไปเป็นอะไรได้ทั้งสิ้นจากความเครียด ไปเป็นความดันเลือดสูง ไปเป็นโรคหัวใจ ไปเป็นผื่นทำให้กำเริบ ไปเป็นมะเร็งต่างๆ
ถ้าเกิดความสมดุล เกิดความลงตัว เกิดความดุลยภาพ ทุกอย่างก็ลื่นไหลสะดวก คล่องตัวไปหมด ถ้าไม่ลงตัวความเครียดเปรียบเสมือนรถยนต์ที่วิ่งเร็วจี๋ก็เกิดอุบัติเหตุง่าย อุบัติเหตุก็ไม่เหมือนกันของรถแต่ละคัน บางคันพลิกคว่ำ บางคันพลิกหงาย บางคันไปซ้าย บางคันไปขวา บางคัน เครื่องดับ เครื่องหลุด ล้อหลุดง่ายๆ ไม่เหมือนกันเลย ส่วนใหญ่เกิดจากความเครียดของระบบ
ความเครียดคือความที่ไม่ลงตัว ก็เหมือนรถที่ควบคุมไม่ได้ มันออกไปเป็นอะไรก็ได้ทั้งสิ้น เพราฉะนั้นโรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่รู้เป็นโรคอะไร แล้วการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นรักษาไม่หาย แต่ถ้าเรารู้ว่ามันเกิดจากการเสียดุล เป็นโรคเสียดุลยภาพ เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาคือทำให้เกิดดุล การเกิดดุลยภาพจะดีขึ้น ไม่ว่าจะเรียกว่าโรคอะไร
ทีนี้ว่าดูให้ดี นิยามของสุขภาพคือ สุขภาวะทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางจิตวิญญาณ (Spiritual well-being) จะเห็นว่าโยคะเข้าไปเกี่ยวข้องกับ ๔ เรื่อง ทางกาย ทางจิต โยคะฝึกจิตด้วย ฝึกสมาธิ เจริญสติ และทางสังคม ถ้าถามว่าทางสังคมเป็นอย่างไร สังคมหมายถึง ความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าจริยธรรม จริยธรรมคือความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างตัวเองกับตัวเอง กับคนอื่น และสิ่งอื่น นั่นหมายถึงสิ่งแวดล้อมด้วย โยคะจะดูจิตของตัวเองเป็นอย่างไร
ในขณะที่การศึกษาทั่วโลกล้วนศึกษาเรื่องนอกตัว แต่สิ่งที่เกือบไม่มีการศึกษาเลยคือการศึกษารู้ตัวเอง
ความรู้คือรู้อะไรเป็นเรื่องๆ แต่ปัญญาหมายถึงรู้ทั้งหมด หมายถึงรู้ตัวเองด้วย เพราฉะนั้นการศึกษาทางโลกที่มีในปัจจุบัน เราไม่ต้องไปปฏิเสธว่าไม่ดี ว่าไม่ตรง เป็นการศึกษาข้างนอกทั้งสิ้น ศึกษาในตัวไม่มี เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นปัญญา
โยคะจะดูตัวเองด้วยและรู้ตัวเองด้วย คนเราเมื่อรู้ตัวเองก็จะสามารถจัดความสัมพันธ์ ระหว่างตัวเรากับคนอื่นได้ถูกต้อง เราจะจัดไม่ได้ถ้าเราไม่รู้ตัวเอง ถ้าเรารู้ตัวเองจะจัดความสัมพันธ์ได้ดี ตรงนี้เป็นจริยธรรม เป็นการอยู่ร่วมกัน
เมื่อถึงขณะนั้นจิตจะสงบ สบายเป็นอิสระ เกิดความเมตตาอันไพศาล เห็นความงามของสิ่งต่างๆ เต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นใบไม้ หยดน้ำ จะเต็มไปด้วยความงาม เพระว่าในความเป็นจริงมีความงาม
ถ้าใครยังไม่เห็นความงาม แปลว่ายังเข้าไม้ถึงความจริง
ถ้าเข้าถึงความจริงแล้วจะสัมผัสความงาม เกิดความชื่นใจเต็มไปหมด เกิดความสุข เกิดความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสรรพสัตว์ ต่อธรรมชาติทั้งหลาย และอยากให้คนอื่นเจอความสุขเหมือนตัวเองเจออีกด้วย จะเกิดความเมตตาที่เป็นจริงจิตวิญญาณที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น โยคะจึงเข้าไปแทนหมด ทั้งสุขภาวะทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางจิตวิญญาณ เรื่องโยคะจึงเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเครื่องมือที่จะพัฒนามนุษย์ทั้งโดยส่วนตัวและโดยส่วนรวมด้วย
ประเด็นสำคัญเราจะทำอย่างไรที่จะส่งเสริมให้ดีขึ้น จึงขอเสนอแนะ ๕ ประการด้วยกัน คือ
๑. ต้องมีการทำงานทางวิชาการ มีการศึกษา ค้นคว้าวิจัย เอาให้หนักแน่น ถ้าวิชาการเราไม่หนักแน่นจะผิดเพี้ยนกัน มีของปลอมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ใช้ไม่ได้ ต้องมีสถาบันวิจัยหลายๆ สถาบันที่ทำการศึกษาวิจัย และร่วมมือกับสถาบันต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศอินเดียโดยการค้นคว้าของ ดร.กาโรเต้ ซึ่งจะต้องคว้าของที่แท้จริงที่ไม่ใช้ของปลอมเข้ามาได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่ทำเป็นการค่าจะมีอะไรๆ เข้ามาเสมอๆ จำเป็นต้องมีการเผยแพร่ทางสื่อ เพื่อให้คนเกิดสัมมาทิฐิ
๒. ส่งเสริมให้มีการวิจัยโดยการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยจัดพบกันมากขึ้นเรื่อยๆ กับการแพทย์ปัจจุบันว่า โยคะให้ผลอะไรบ้าง เกิดอะไรบ้าง
ตัวอย่างเช่น ขณะนี้ท่านดาไลลามะ ทำวิจัยร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ในอเมริกามา ๑๐ กว่าปีแล้ว ที่บริติช เคาน์ซิลและได้ข้อค้นพบจากการที่เอานักวิทยาศาสตร์จากบริติช เคาน์ซิล มาเป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งฝึกสมาธิ อีกกลุ่มไม่ได้ฝึก ปรากฏว่าพวกที่ฝึกสมาธิมีภูมิคุ้มกันดีขึ้น และปรากฏว่ากลุ่มที่มีความเครียดไม่ค่อยมีภูมิคุ้มกัน แต่พวกที่เกิดสมาธิและจิตสงบ พบว่ามีภูมิคุ้มกันเพิ่มสูงขึ้น และยังมีการศึกษาสมองด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ ดูว่าสมองส่วนไหนเป็นอย่างไร ความรู้สึกขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร มีความผ่อนคลายในสมองตรงไหน ซึ่งจะมีความรู้ตรงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เรื่องโยคะควรจะเชื้อเชิญให้การแพทย์แผนปัจจุบัน เข้ามาวิจัยว่าผลต่อสุขภาพอันเป็นรายละเอียดเป็นอย่างไร เพราะการแพทย์แผนปัจจุบันถ้าเขาได้เข้ามารู้ตรงนี้เขาจะได้เกิดสัมมาทิฐิ
๓. พัฒนาครูโยคะให้เก่ง
๔. ฝึกอบรมโยคะให้เป็นวิถีชีวิตของคนทุกคน (ways of life) โยคะควรเป็นวิถีชีวิต เป็นวิถีชีวิตของคนทุกคน ทำให้จิตใจดี สังคมดี เหมาะทุกพื้นที่ ทุกองค์กร ทุกตำบล ทุกจังหวัด ในโรงเรียน ในบริษัท ในที่ทำงาน ที่ต่างๆ และผู้คนจิตใจดีขึ้น มีความสุขขึ้น ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น และตรงนี้ก็คือการปฏิวัติเงียบ (quiet revolution) มีความสุขมากขึ้น รักคนอื่นมากขึ้น อยากช่วยคนอื่นมากขึ้น
ขณะนี้บางคนหงุดหงิดมาก บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร โลกจะเป็นอย่างไร เราต้องมีเครื่องมือที่จะทำให้มีความสุข
โยคะถือเป็นเครื่องมือที่ดี ที่ทำให้คนมีความสุข ทำให้สามารถเผชิญแรงเสียดทานต่างๆ ได้ ทำให้จิตใจดี มีเมตตากับคนอื่น ทำงานร่วมกันต่างๆ นั้นเป็นเครื่องมือปฏิวัติและมันก็ง่ายทำให้คนที่ทำมีความสุข เกิดความชื่นใจอยากทำอีก อยากให้คนอื่นทำบ้าง หากดำเนินไปอย่างนี้ กำลังจะมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นกำลังปฏิวัติที่ไม่ทำลายล้างใคร ไม่ได้ฆ่าใคร ไม่ได้ยึดอำนาจใคร เป็นกลาง ไม่ได้ว่าใคร ไม่ได้ให้ร้ายใคร ผลเรียกอันนี้ว่า การปฏิวัติเงียบ (quiet revolution) ของมนุษย์ทีเดียว
๕. จำเป็นต้องมีศูนย์ส่งเสริมโยคะทุกจังหวัดเกิดขึ้น อาจใช้ชื่อว่า “ศูนย์ส่งเสริมปรัชญาและโยคะเพื่อสุขภาพ”
แหล่งที่มา : vcharkarn.com