เครียดเรื่องงาน วิธีคลายเครียด วิธีแก้เครียด


902 ผู้ชม


เครียดเรื่องงาน วิธีคลายเครียด วิธีแก้เครียด


เครียดเรื่องงาน...ทำอย่างไรดีหนอ

เครียดงาน (Work stress) !! เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย มากในเวชปฏิบัติครอบครัว แต่เมื่อแพทย์บอกผู้ป่วยว่าอาการต่างๆนั้นมีสาเหตุมาจากความเครียด มีน้อยคนมากที่จะยอมรับว่าเกิดขึ้นกับตนและรีบบอกปัดว่า "เปล่านะ ฉันไม่ได้คิดไปเอง" ทั้งนี้เพราะความหมายเชิงลบ นัยว่าเป็นความอ่อนแอที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการทำงานของตนเองได้ ผู้ป่วยหลายคนจึงบอกว่าตนไม่เครียด มีการศึกษามากมายที่พบว่าเครียดจากงานมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งกายและใจ อาการทางกายต่างๆ ได้แก่ ปวดเกร็งตามกล้ามเนื้อ ตั้งแต่ศีรษะ คอ ไหล่ หลัง ใจสั่น แน่นแปลบที่หน้าอก ปวดไปทั้งตัว ปวดแสบร้อนท้อง ลมในท้อง รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ไม่สดชื่น มึนงง เบื่อหน่าย ถอนหายใจหรือเรอบ่อยๆ ดังกรณีศึกษาต่อไปนี้

กรณีศึกษา
ชายอายุ 45 ปี โสด อาชีพวิศวกร ตำแหน่งผู้บริหารองค์กร.
อาการสำคัญ 
มึนศีรษะมานาน 4 เดือน เป็นมากขึ้นใน 1 สัปดาห์.
ประวัติปัจจุบัน 
4 เดือนก่อน มึนศีรษะช่วงตอนเย็น ไม่ปวด สายตาปกติ ไม่มีไข้ ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน ถ้านอนแล้วอาการดีขึ้น. ช่วง 4 เดือนมานี้นอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องงาน ทำงานเป็นวิศวกรมา 20 ปี แต่ 2 ปีก่อนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารขององค์กร และถูกส่งให้ไปเรียนเพิ่มเติมทางบริหาร ซึ่งผลการเรียนออกมาอยู่ในระดับดีมาก
เมื่อมาทำงานจริงกลับมีปัญหา เพราะปริมาณงานที่มากขึ้น และแต่ละงานต้องเร่งรัดให้ทันกำหนด แม้กระนั้นงานก็ยังเสร็จไม่ทันทั้งหมด รู้สึกกดดันและรู้สึกว่าตนทำไม่ได้ คิดว่าไม่ถนัดกับงานนี้ แม้ว่าผลงานที่ทำทันจะสำเร็จด้วยดีก็ตาม อยากกลับไปทำงาน ด้านวิศวกรรมเหมือนเดิม แต่เจ้านายเห็นว่าตนมีความสามารถ จึงต้องทำงานบริหารต่อทั้งๆ ที่ใจไม่อยากทำ.
การตรวจวินิจฉัยโรค ตรวจร่างกายทุกระบบรวมทั้งระบบประสาทไม่พบความผิดปกติ สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมึนศีรษะ (Dizziness) ได้มากที่สุดจึงน่าจะเป็นความเครียดจากงาน และการนอนไม่หลับเรื้อรัง.
การรักษาทั่วไป โดยส่วนใหญ่มักจบลง ด้วยการสั่งยาคลายเครียด ยาแก้อาการมึนงง ยา นอนหลับ ซึ่งอาจได้ผลชั่วคราว เมื่อยาหมดซอง ผู้ป่วยก็มักจะกลับมาใหม่.

 

แนวทางการรักษาโรคเครียดจากงาน (Work stress)
แบ่งออกเป็น 2 วิธีได้แก่
1. หาวิธีคลายเครียด (Supportive) การ แก้ความเครียดชั่วคราว แก้อาการประเดี๋ยวประด๋าว ได้แก่ การเบี่ยงเบนความสนใจตนเองด้วยการกระตุ้นประสาทสัมผัสต่างๆ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ กินอาหารอร่อยๆ ไปนวด ออกกำลังกาย หรือใช้สารเสพติด เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่ วิธีเหล่านี้ทำได้ง่าย ได้ผลค่อนข้างเร็ว แต่กลับมาเครียดใหม่ได้บ่อยๆ เพราะเป็นการหลีกหนีปัญหาไปชั่วคราว.
2. หาจุดกำเนิดความเครียด (Specific) การแก้ความเครียดที่สาเหตุ ด้วยการทำความเข้าใจต้นตอแห่งความเครียด คือ ความคิดต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งในผู้ป่วยรายนี้เครียดเพราะความคิดของตนเอง ว่าตนไม่อยากทำงานที่กำลังถูกบังคับ จึงทำงานแบบไม่เต็มใจ ต่อต้านในใจ และระแวดระวังความผิดพลาดจนไม่มีความสุขในงาน. บางคนต้องย้ายงานหรือเปลี่ยนงานบ่อยๆ เพื่อหลีกหนีความเครียดเหล่านี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางออกของปัญหา.
การเริ่มต้นช่วยเหลือผู้ป่วย
หลังจากซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดจนมั่นใจว่าไม่มีสาเหตุโรคร้ายแรงทางกายอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย ควรใช้เวลาพูดคุยเพื่อทำให้ผู้ป่วยค่อยๆนึกทบทวนถึงเหตุการณ์รายละเอียดต่างๆก่อนเกิดอาการ ไม่สบาย (ให้ใช้คำตรงๆว่า"ไม่สบาย" มากกว่าคำว่า "เครียด" เพราะผู้ป่วยจะไม่ต่อต้านมากนักว่าหมอสรุปสาเหตุความเจ็บป่วยไปแล้ว).
ผู้ ป่วยเริ่มเล่าและวิเคราะห์สถานการณ์ของตนเอง โดยคิดเหมือนกันว่าอาการต่างๆอาจเป็นเพราะเครียดจากงาน เนื่องจากสังเกตว่าอาการมึนศีรษะมักเป็นระหว่างหรือหลังการทำงาน แต่ถ้าได้พักผ่อนมักจะดีขึ้น ตื่นนอนตอนเช้าจะไม่มีอาการ แต่พอเริ่มทำงาน หรือหลังทำงานเสร็จมักจะมีอาการ ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันพักผ่อนมักจะไม่มีอาการ บวกกับเมื่อเกิดความเจ็บป่วยขึ้นจากที่แข็งแรงดีมาตลอด จึงเกิดความ กลัวว่าจะเป็นอันตรายร้ายแรง กลัวมากจนกระทั่งนอนไม่หลับ ทำให้ร่างกายแย่ลงไปอีก (ผู้ป่วยค่อยๆลำดับเหตุการณ์ ความคิด และพยานหลักฐานในความคิดนั้นๆออกมาเอง เป็นการบอกเล่าให้หมอและตนเองฟังด้วย ซึ่งจะดีกว่าการที่หมอพยายามบีบบังคับให้เขาเชื่อว่าเขาเป็นโรคเครียด).


แหล่งที่มา : blog.eduzones.com

อัพเดทล่าสุด