เจ็บหน้าอกจะท้องไหม หายใจเข้าแล้วเจ็บหน้าอกข้างซ้าย ทำไมเจ็บหน้าอกก่อนมีประจำเดือน
โรคหอบจากอารมณ์
บางคนเมื่อมีเรื่องขัดใจ หรือมีอารมณ์เครียด ก็เกิดอาการหายใจหอบลึก และมือเท้า 2 ข้างจีบเกร็งคล้ายเป็นตะคริว อาจมีอาการแน่นิ่งไม่พูดไม่จา หรือเอะอะโวยวาย คล้ายเสียสติ สร้างความตกใจให้ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงที่พบเห็น บางชุมชนเข้าใจว่าเป็น 'โรคผีเข้า' พาไปทำพิธีไล่ผีตามความเชื่อของท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งมักจะหายได้เช่นเดียวกับพาไปรักษาที่โรงพยาบาล
อาการดังกล่าวแพทย์เรียกว่า 'กลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน' หรือ 'โรคหอบจากอารมณ์' ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาทางจิตใจและอารมณ์ ไม่มีอันตรายร้ายแรงใดๆ และสามารถแก้ไขด้วยวิธีง่ายๆ
* ชื่อภาษาไทย
โรคหอบจากอารมณ์, กลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน, กลุ่มอาการหายใจเกิน
* ชื่อภาษาอังกฤษ
Hyperventilation Syndrome, Psychogenic Dyspnea
* สาเหตุ
โรค นี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด พบว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มในการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าอก (แทนกะบังลมและกล้ามเนื้อท้อง) ซึ่งทำให้การหายใจไม่มีประสิทธิภาพและมักมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นให้เกิด อาการ ที่สำคัญได้แก่ ความเครียดทางจิตใจและอารมณ์ (เช่น ความกลัว วิตกกังวล โกรธ ขัดใจ น้อยใจ เสียใจ เป็นต้น) บางครั้งก็ถูกกระตุ้นด้วยอาการเจ็บปวดรุนแรง (เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง) ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบ หายใจลึก หรือหายใจเร็ว ส่งผลให้ร่างกายขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมากเกิน เกิดภาวะเลือดเป็นด่าง (alkalosis) และภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ เกิดอาการผิดปกติของร่างกายหลายระบบพร้อมๆ กัน
* อาการ
ใน รายที่เป็นเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการระบายลมหายใจเกิน เช่น หายใจลึก หายใจถี่ หรือทั้งลึกและถี่ ซึ่งมักเกิดขึ้นทันทีหลังจากมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจหรือมีความเครียดทาง อารมณ์ บางรายอาจเกิดหลังจากมีอาการเจ็บปวดรุนแรง
อาจบ่นปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ใจสั่น เจ็บหน้าอก แน่นอึดอัดในหน้าอก ชารอบปาก ชาปลายมือปลายเท้า หรือมีลมในท้อง ท้องอืดเฟ้อ
อาจมีอาการร้องเอะอะโวยวาย ดิ้นไปมา สับสน ประสาทหลอน หรือนอนแน่นิ่งเหมือนเป็นลม บางรายมีอาการหลับตามิดและขมิบหนังตาแน่น
ผู้ ป่วยมักมีอาการมือและเท้าจีบเกร็งทั้ง 2 ข้างคล้ายเป็นตะคริว ทั้งนี้เนื่องจากเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (hypocalcemia) ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิกิริยาลูกโซ่จากการระบายลมหายใจเกิน จึงเกิดอาการชักเกร็ง (tetany หรือ carpopedal spasm) ของมือและเท้า
อาการ เหล่านี้ อาจทุเลาได้เอง ถ้าผู้ป่วยสามารถควบคุมตัวเองให้กลับมาหายใจแบบปกติ แต่ถ้ายังมีการหายใจผิดปกติ อาการเหล่านี้ก็จะเป็นต่อเนื่อง อาจนานเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ญาติตกใจกลัว จนต้องรีบพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล
ในรายที่เป็นเรื้อรัง มักไม่มีอาการหายใจผิดปกติและมือเท้าจีบเกร็งให้เห็นเด่นชัด ผู้ป่วยมักบ่นว่ามีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น เจ็บหน้าอก รู้สึกหายใจไม่อิ่มหรือแน่นอึดอัดในหน้าอก นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ เวียนศีรษะ ศีรษะโหวงๆ หรือรู้สึกโคลงเคลง ชาหรือเสียวๆ บริเวณรอบปากหรือปลายมือปลายเท้า มีลมในท้อง คลื่นไส้ และมักมีอาการถอนหายใจหรือหาวบ่อย
ผู้ป่วยมักมีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ มีความรู้สึกกลัวอย่างไม่มีเหตุผล มีปมด้อย ขาดความอบอุ่นทางจิตใจ หรือมีปัญหาในการปรับตัว
ใน รายที่เป็นเรื้อรัง ซึ่งมักมีอาการไม่เด่นชัดแบบรายที่เป็นเฉียบพลัน ถ้าให้ผู้ป่วยหายใจลึกและเร็ว (นาทีละ 30-40 ครั้ง) ก็มักชักนำให้เกิดอาการมือและเท้าจีบเกร็ง และถ้าให้หายใจในกรวยกระดาษ อาการต่างๆ ก็มักจะทุเลาได้
* การแยกโรค
ในรายที่มีอาการหายใจหอบ อาจเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่นๆ เช่น
• ปอดอักเสบ ผู้ป่วยมักมีไข้สูง ไอ เจ็บหน้าอกร่วมด้วย
• หืด ผู้ป่วยมักมีอาการหายใจเสียงดังวี้ด มีประวัติเป็นโรคหืดมาก่อน หรือมีญาติพี่น้องเป็นโรคหืด
• ภาวะเลือดเป็นกรด/ช็อก ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นเบาหวาน (แต่ขาดการรักษา) ตกเลือดรุนแรง ท้องเดินหรืออาเจียนรุนแรง เป็นไข้เรื้อรัง ซีด กินไม่ได้มาหลายวัน
• สำลักสิ่งแปลกปลอม ผู้ ป่วยมักมีอาการเกิดขึ้นทันทีทันใด เช่น หลังสำลักอาหารหรือกลืนเมล็ดผลไม้ ในเด็กอาจมีประวัติเกิดอาการหายใจลำบากขณะเล่นเหรียญสตางค์ กระดุม ของเล่นชิ้นเล็กๆ หรือเมล็ดผลไม้
• หัวใจวาย ผู้ป่วยมักมีอาการเท้าบวม หรือเจ็บหน้าอกรุนแรง หรือมีประวัติเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน หรือความดันเลือดสูง
จะเห็นว่าอาการหายใจหอบ หายใจลำบาก มักเกิดจากสาเหตุร้ายแรง ซึ่งควรพาผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลโดยเร็ว
ในรายที่มีอาการมือเท้าจีบเกร็ง อาจเกิดจากภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ เนื่องจากภาวะขาดฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ที่พบบ่อยมักเกิดจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (จะเห็นรอยผ่าตัดเป็นแนวขวางบริเวณใต้ลูกกระเดือก) แล้วผ่าตัดถูกต่อมพาราไทรอยด์เข้า ภาวะนี้จำเป็นต้องได้รับวิตามินดีกินเป็นประจำ เพื่อเพิ่มระดับแคลเซียมในเลือด
ในรายที่มีอาการเหนื่อยง่าย หรือเจ็บหน้าอก อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น
• โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ผู้ป่วยมักมีอาการปวดจุกบริเวณยอดอกหรือลิ้นปี่ และร้าวขึ้นคอ ขากรรไกร หรือต้นแขน มักพบในผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง คนอ้วน สูบบุหรี่จัด หรืออายุมาก
• โรคถุงลมปอดโป่งพอง ผู้ป่วยมักมีอาการหอบเหนื่อยเวลาออกแรงทำงานหรือเคลื่อนไหวร่างกาย มักมีประวัติสูบบุหรี่จัดมานับสิบปีขึ้นไป
* การวินิจฉัย
แพทย์ จะวินิจฉัยโรคหอบจากอารมณ์ จากประวัติและอาการแสดงเป็นหลัก หากผู้ป่วยไม่มีประวัติการเจ็บป่วยอื่นๆ มาก่อน แล้วอยู่ๆ มีอาการหายใจหอบหืด และมีอาการมือและเท้าจีบเกร็งชัดเจน เกิดขึ้นหลังจากมีเรื่องขัดใจหรืออารมณ์เครียด ก็สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเป็นโรคนี้ และให้การดูแลรักษาได้ทันที
ในราย ที่อาการไม่ชัดเจน หรือสงสัยมีสาเหตุจากโรงทางกาย (เช่น โรคปอด โรคหัวใจ) หรือมีประวัติการเจ็บป่วยอื่นๆ (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง มีไข้ ซีด) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ตรวจคลื่นหัวใจ เป็นต้น
* การดูแลตนเอง
ถ้า หากมีอาการชัดเจน (หรือมีเรื่องขัดใจ เกิดอาการหายใจหอบลึก ต่อมาสักครู่มีอาการมือเท้าจีบเกร็งทั้ง 2 ข้าง โดยไม่มีอาการเจ็บป่วยอื่นๆ) หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบจากอารมณ์มาก่อน และคราวนี้มีอาการซ้ำเดิมอีก สามารถให้การดูแลเบื้องต้นด้วยการใช้กระดาษทำเป็นรูปกรวย (มีรู 0.5-1.0 เซนติเมตร ตรงปลายกรวย) หรือใช้ถุงกระดาษ (เจาะรูขนาดเดียวกัน) นำมาครอบปากกับจมูกของผู้ป่วยพอแน่น ให้ผู้ป่วยหายใจในกรวยหรือถุงกระดาษ หรืออาจใช้ผ้าห่มคลุมโปงให้ผู้ป่วยหายใจอยู่ภายในโปงนั้น วิธีการเหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยสูดเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับเข้าไปในร่าง กายเพื่อแก้ไขภาวะเลือดเป็นกรด ซึ่งจะช่วยแก้ไขภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ทำให้มือเท้าหายจีบเกร็งและอาการต่างๆ ทุเลาได้ ปกติมักจะได้ผลภายใน 10-15 นาที
ควรหลีกเลี่ยงวิธีการดังกล่าวหากสงสัยว่ามีสาเหตุจากโรคทางกาย หรือไม่มั่นใจว่าเป็นโรคหอบจากอารมณ์
ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
• มีโรคประจำตัวอยู่ก่อน เช่น หอบหืด โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันเลือดสูง
• กินอาหารไม่ได้มาหลายวัน เป็นไข้ ท้องเดินรุนแรง อาเจียนรุนแรง เจ็บหน้าอกรุนแรง หรือสงสัยสำลักอาหาร หรือมีสิ่งแปลกปลอมติดคอ
• ตรวจพบมีภาวะซีด บวม หายใจมีเสียงดังวี้ด ปากเขียว ตัวเขียว หมดสติ
• ให้การดูแล 15-30 นาทีแล้วไม่ทุเลา
• กังวลหรือไม่มั่นใจในการดูแลตนเอง
* การรักษา
ถ้าวินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบจากอารมณ์ แพทย์จะให้ผู้ป่วยหายใจในกรวยกระดาษหรือถุงกระดาษแบบเดียวกัน
ถ้าไม่ทุเลาภายใน 15-30 นาที แพทย์อาจพิจารณาให้ยากล่อมประสาทกินหรือฉีด (ถ้ากินไม่ได้)
เมื่อทุเลาแล้ว แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับปัญหาด้านจิตใจและอารมณ์ และให้คำแนะนำในการผ่อนคลายความเครียด และวิธีป้องกันไม่ให้กำเริบซ้ำ
* ภาวะแทรกซ้อน
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงใดๆ
* การดำเนินโรค
เมื่อได้รับการดูแลถูกต้อง อาการจะทุเลาได้ภายใน 15-30 นาที
เมื่อหายแล้ว ต่อไปยังอาจกำเริบได้อีกถ้ามีความเครียดทางอารมณ์
ในรายที่รู้จักฝึกวิธีป้องกันไม่ให้กำเริบซ้ำ อาจทำให้อาการห่างหายไปได้
* การป้องกัน
ผู้ที่เคยเป็นโรคหอบจากอารมณ์ ควรหาทางป้องกันไม่ให้กำเริบซ้ำ ด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้
• ฝึกหายใจด้วยท้อง โดยสังเกตว่าเวลาหายใจเข้าท้องจะป่อง หายใจออกท้องจะแฟบ
• ฝึกวิธีผ่อนคลายความเครียด ด้วยการออกกำลังกาย การฝึกสมาธิ เจริญสติ
* ความชุก
พบ ได้ประมาณร้อยละ 6-10 ของคนทั่วไป พบได้ในคนทุกวัย โดยพบมากในช่วงอายุ 15-55 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า และพบว่าพ่อแม่หรือบุตรของผู้ป่วยมีแนวโน้มเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป โดยยังไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม
แหล่งที่มา : healthupdatetoday.com , หมอชาวบ้าน