อาการกรดไหลย้อนเริ่มต้น อาการกรดไหลย้อน จน ทําให้เกิด สภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน อาการกรดไหลย้อนของคนท้อง
บทนำ
โรคกรดไหลย้อน (Gastoesophageal reflux disease) หรือ เรียกย่อว่า โรคเกิร์ด (GERD) หรือ อาจเรียกว่า โรคกรดไหลกลับ ได้แก่โรคซึ่งกรดที่ควรมีอยู่แต่เฉพาะในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร และก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ เช่น อาการแสบร้อนกลางอก (Heartburn) ลำคอและ กล่องเสียงอักเสบ
กรดไหลย้อนเป็นโรคพบได้บ่อยทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย โดยพบได้ใกล้ เคียงกัน เป็นโรคพบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยพบอัตราเกิดสูงสุดในคนอายุ 60-70 ปีขึ้นไป มีรายงานว่าในคนอังกฤษ พบโรคนี้ได้ประมาณ 4.5 คนในประชากร 1,000 คน ส่วนในสหรัฐอเมริกา พบได้ประมาณ 5.4 คนในประชากร 1,000 คน ซึ่งคาดว่าเมื่อคนมีอายุยืนยาวมากขึ้น ก็จะพบโรคนี้ได้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
โรคกรดไหลย้อนเกิดได้อย่างไร?
ระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร จะมีกล้ามเนื้อทำหน้าที่เป็นหูรูด (Sphincter) ช่วยบีบบังคับไม่ให้อาหาร และกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร ทั้งนี้เพราะกรดจะทำลายเยื่อบุหลอดอาหาร ก่อให้เกิดอาการและโรคต่างๆตามมา เพราะเนื้อเยื่อหลอดอาหารไม่สามารถทนต่อกรดได้ ดังนั้น เมื่อเกิดภาวะที่ทำให้หูรูดนี้หย่อนยาน หรือ ปิดไม่สนิท จึงส่งผลให้กรดและอาหารที่กำลังย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลทวนย้อนกลับเข้าสู่หลอดอาหาร
ภาวะที่ทำให้เกิดการหย่อนยาน และ/หรือการปิดไม่สนิทของหูรูด ที่สำคัญ คือ อายุ กระเพาะอาหารบีบตัวได้น้อยลง และการมีความดันในกระเพาะอาหารสูง ขึ้น
- อายุ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์/เนื้อเยื่อ ทุกชนิดของร่างกายจะเสื่อมลงรวมทั้งของหูรูดนี้ ดังนั้นจึงเกิดการหย่อนยาน ทำงานประสิทธิภาพลดลง อาหาร และกรดในกระเพาะอาหารจึงดันท้นย้อนกลับเข้าในหลอดอาหาร ส่วนในเด็กอ่อน เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ การทำงานจึงหย่อนยาน เด็กอ่อนจึงมีการขย้อนนม และ อาหารออกมาได้ แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อเด็กโตขึ้น
- กระเพาะอาหารบีบตัวลดลงจากสาเหตุต่างๆ เช่น จากอายุหรือ จากการอักเสบของกระเพาะอาหาร หรือของเส้นประสาทกระเพาะอาหาร หรือจากผล ข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาคลายเครียด ยาโรคกระเพาะ ยาบรรเทาปวดกล้ามเนื้อ หรือจากสารบางอย่างที่ทำให้กล้ามเนื้อหย่อนยาน เช่น สุรา ซึ่งจากการบีบตัวลดลง จึงส่งผลให้เกิดการคั่งของอาหารและกรด จึงเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหาร ดันให้หูรูดนี้เปิด อาหาร/กรดจึงไหลย้อนกลับเข้าสู่หลอดอาหาร
- การมีแรงดันในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น จึงดันให้หูรูดนี้เปิด หรือ ปิดไม่สนิท อาหาร/กรดจากกระเพาะอาหาร จึงไหลท้นย้อนกลับเข้าหลอดอาหาร เช่น การกินอาหารในแต่ละมื้อในปริมาณสูง การกินแล้วนอนเลย โรคอ้วนโรคไอเรื้อรังและ ประเภทอาหารชนิดคุณสมบัติค้างอยู่ในกระเพาะอาหารได้นาน เช่น อาหารไขมัน
โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคกรดไหลย้อน ได้แก่
- อายุ ดังกล่าวแล้ว อายุยิ่งสูงขึ้น โอกาสเกิดโรคนี้ยิ่งสูงขึ้น
- การกินอาหารแต่ละมื้อในปริมาณสูง โดยเฉพาะกินมื้อเย็นก่อนนอน เพราะปริมาณอาหารยังค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร และการนอนราบยังเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหาร อาหารและกรดจึงไหลย้อนกลับเข้าหลอดอาหารได้ง่าย
- ประเภทอาหาร และเครื่องดื่ม ประเภทอาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารได้นาน เช่น ไขมัน และมันฝรั่ง อาหารและเครื่องดื่มที่มีสารช่วยการคลายตัวของกล้ามเนื้อ เพราะจะลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร เช่น ช็อกโกแลต สุรา รวมทั้งเครื่องดื่มมีกาแฟอีน (ชา กาแฟ โคล่า ยาชูกำลังบางชนิด )
- บุหรี่ เพราะมีสารพิษ เพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร และอาจทำให้การบีบตัวของกระเพาะอาหารลดลง
- โรคเรื้อรังต่างๆที่มีผลต่อการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆ รวมทั้งของกระเพาะอาหารและเส้นประสาทกระเพาะอาหาร เช่น โรคเบาหวาน และโรคที่ส่งผลให้มีการไอเรื้อรัง เช่น โรคถุงลมโป่งพอง
- โรคอ้วน ดังกล่าวแล้ว
- การตั้งครรภ์ เพราะเพิ่มความดันในกระเพาะอาหารจากครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น
- โรคของกระบังลม ซึ่งมักเป็นแต่กำเนิด ทำให้กล้ามเนื้อกระบังลมหย่อน หรือ มีช่อง กระเพาะอาหารจึงดันเข้าไปอยู่ในช่องอก ส่งผลให้มีอาหารค้างในกระเพาะอาหารรวมทั้งเพิ่มความดันในกระเพาะอาหารด้วย
- โรคของกล้ามเนื้อ และ/หรือ ของเนื้อเยื่อต่างๆ (พบได้น้อย) ส่งผลให้กล้ามเนื้อ และ/หรือเนื้อเยื่อหลอดอาหารและ กระเพาะอาหารทำงานด้อยประสิทธิภาพลง
โรคกรดไหลย้อนมีอาการอย่างไร?
อาการพบบ่อยของโรคกรดไหลย้อน ได้แก่
- อาการแสบร้อนกลางอก ซึ่งเป็นอาการสำคัญของโรคนี้ แต่พบในคนปกติเป็นครั้งคราวได้ เมื่อกินอาหารมากเกินไป หรือ กินอาหารรสจัด แต่เมื่อมีอาการบ่อย หรือ อาการไม่หายไปภายใน 2 สัปดาห์ ควรพบแพทย์ เพราะมักเกิดจากโรคกรดไหลย้อน แต่เมื่อมีอาการแสบร้อนกลางอกรุนแรง ควรต้องรีบพบแพทย์ หรือ พบแพทย์เป็นการฉุกเฉิน เพื่อแยกจากอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
- เรอบ่อย โดยเฉพาะเมื่อตื่นนอนทั้งที่ยังไม่ได้กินอะไร ทั้งนี้เพราะจากภาวะมีกรด และมีอาหารบางส่วนค้างในกระเพาะอาหาร
- อาจปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ (บริเวณกระเพาะอาหาร) เรื้อรัง
- สะอึกบ่อย
- เจ็บคอเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนตื่นนอน จากกรด และอาหารไหลท้นถึงลำคอ ก่อการอักเสบเรื้อรังของลำคอ
- ไอเรื้อรัง จากอาหารและกรดท้นขึ้นมาถึงลำคอ จึงเกิดลำคออักเสบเรื้อ รัง
- อาจมีเสียงแหบเรื้อรัง จากอาหารและกรดไหลท้นถึงกล่องเสียง ทำให้ กล่องเสียงอักเสบเรื้อรัง
- มีรสเปรี้ยวในช่องปากเสมอ จากมีเศษอาหารและ กรดไหลท้นถึงช่องปาก
- อาจอาเจียน หรือ ขย้อนอาหารออกมาได้บ่อยผิดปกติ หลังกินอาหาร
- มีเสมหะไหลลงลำคอเสมอ ก่อ อาการไอเรื้อรัง จากมีการอักเสบเรื้อรังของไซนัส สาเหตุจากอาหารและ กรดท้นขึ้นมาถึงโพรงหลังจมูก
- อาการจากโรคหืด (ไอ หอบ เหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด) หรือ ทำให้อาการของโรคหืดรุนแรงขึ้น แพทย์เชื่อว่า จากมีกรดไหลท้นสู่หลอด ลม/ปอด จึงก่อการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ประวัติอาการ การตรวจลำคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคทางปอด การส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดอาหารและลำไส้ และอาจตัดชิ้นเนื้อในบริเวณผิดปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดอาหาร และอาจมีการตรวจวิธีเฉพาะ เช่น ตรวจวัดภาวะความเป็นกรดของหลอดอาหารในขณะส่องกล้อง ทั้ง นี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
รักษาโรคกรดไหลย้อนอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคกรดไหลย้อน ได้แก่ การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การปรับพฤติกรรมการบริโภคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เลิก จำกัดอาหาร เครื่องดื่มที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เลิกบุหรี่ ควบคุมน้ำหนัก การให้ยาลดกรด หรือ ยาเพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหาร และเมื่ออาการเลวลงมาก อาจต้องให้การผ่าตัดหูรูด แต่ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ เพราะการผ่าตัดไม่ได้ผลดีในผู้ป่วยทุกราย
โรคกรดไหลย้อนมีผลข้างเคียงไหม? รุนแรงไหม?
โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคไม่รุนแรง ไม่ทำให้เสียชีวิต แต่เป็นโรคเรื้อรัง ส่ง ผลถึงคุณภาพชีวิต การรักษาให้หายมักเป็นไปได้ยาก แต่การรักษาจะช่วยให้โรคสงบได้นาน และช่วยชะลอความรุนแรงของโรค
ผลข้างเคียง (ผลแทรกซ้อน) ที่พบได้จากโรคกรดไหลย้อน คือ โรคคอ และกล่องเสียงอักเสบเรื้อรัง โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง โรคหืด และฟันผุง่าย จากช่องปากเป็นกรด และจากกรดไหลย้อนถึงช่องปาก นอกจากนั้น คือ เป็นสาเหตุให้หลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเซลล์ที่อักเสบเรื้อรังเหล่านี้ อาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้น การเป็นโรคกรดไหลย้อน จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารได้
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคกรดไหลย้อน ได้แก่
- ปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
- กินอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลง ไม่กินแล้วนอนเลย ต้องรออาหารย่อยผ่านกระเพาอาหารไปก่อน (ประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังกินอาหาร)
- หลีกเลี่ยง และจำกัด ประเภทอาหาร เครื่องดื่ม ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
- งด/เลิก ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
- ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนักเมื่อมี โรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน
- นอนในท่าเอนตัว ไม่นอนราบ
- ไม่ก้มหยิบของเมื่อกินอาหารอิ่มๆ เพราะเพิ่มความดันต่อกระเพาะอาหาร
- ไม่ใส่เสื้อผ้า หรือ รัดเข็มขัดจนแน่น เพราะเพิ่มความดันต่อกระเพาะอาหาร
- ควบคุม รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
- พบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือ ผิดไปจากเดิม
- รีบพบแพทย์ หรือ พบแพทย์ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เมื่อ
- อาเจียน และ/หรือ ไอเป็นเลือด
- ไอมาก หรือ สำลักบ่อย
- เจ็บคอมาก
- เจ็บเวลากลืน หรือ กลืนแล้วติด
- อาเจียน หรือ ขย้อนอาหารบ่อยมาก
- เจ็บหน้าอกรุนแรง
- ปวดท้องรุนแรง
- อุจจาระดำ ลักษณะเหมือนยางมะตอย เพราะเป็นอาการมีเลือดออกในหลอดอาหารและ/หรือในกระเพาะอาหาร
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การป้องกันโรคกรดไหลย้อน ได้แก่ หลีกเลี่ยงสาเหตุดังกล่าวแล้วที่หลีก เลี่ยงได้ ปรับพฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิต ดังกล่าวแล้ว ป้องกันโรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน รักษา ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง และปฏิบัติตนดังกล่าวแล้วในหัวข้อ การดูแลตนเอง
บรรณานุกรม
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- Gastroesophageal reflux disease. https://en.wikipedia.org/wiki/Gastroesophageal_reflux_disease [2011, July 30].
- Kahrilas, P. (2003). GERD pathogenesis, pathophysiology, and clinical manifestations. Cleveland Clinic Journal of Medicine. 70, s4-s18.
แหล่งที่มา : haamor.com