ข่าวจากหนังสือพิมพ์ โรคอุจจาระร่วง นิทรรศการเรื่อง โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน สถิติโรคอุจจาระร่วง
ข่าวจากหนังสือพิมพ์ โรคอุจจาระร่วง
ฤดูร้อนกับปัญหา "ท้องร่วง" ในเด็ก
หน้าร้อนพ่อแม่ระวังเด็กเล็กอุจจาระร่วงเฉียบพลัน ขับถ่ายผิดสังเกต เพลีย ซึม รีบพบแพทย์...
ภาวะ ท้องเสียเป็นปัญหาที่พบบ่อยโดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน หากได้รับการดูแลรักษาที่ไม่เหมาะสมอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเป็นอันตรายต่อ เด็กได้ และมีโอกาสเกิดปัญหาอุจจาระร่วงยืดเยื้อหรือเรื้อรังตามมา ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของลูกอย่างมาก
พญ.วิมล เสกธีระ กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิด โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวถึงภาวะท้องเสียในเด็กว่า ในทางการแพทย์เด็กที่มีภาวะท้องเสียจะหมายถึง เด็กที่มีการถ่ายอุจจาระเหลว จำนวน 3 ครั้งต่อวันหรือมากกว่า หรือถ่ายมีมูกหรือเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง หรือถ่ายเป็นน้ำจำนวนมากกว่า 1 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน ยกเว้นทารกแรกเกิดที่กินนมแม่
ส่วนภาวะเด็กยืดตัวในภาษาโบราณ สันนิษฐานว่า เด็กที่อยู่ในวัยยืดตัวจะเป็นวัยที่ชอบเอาสิ่งของต่างๆ เข้าปาก จึงทำให้มีภาวะถ่ายเหลวได้ แต่อาการจะไม่รุนแรง และมักจะหายได้เอง ซึ่งทางการแพทย์จะไม่มีภาวะเด็กยืดตัว
สาเหตุของภาวะท้องเสียในเด็ก อาจ เกิดจากภาวะติดเชื้อในลำไส้ซึ่งมีทั้งแบคทีเรียหรือไวรัส เกิดจากการติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งผ่านทาง fecal – oral – route (จากอุจจาระผ่านทางปาก) หรือโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อบางชนิดทำให้เกิดโรค ท้องเสีย และภาวะอาหารเป็นพิษได้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น การแพ้นมวัว หรือแพ้อาหารอื่นๆ หรือจากการใช้ยาบางชนิด โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ เป็นต้น
สัญญาณอันตรายที่ควรรีบพบแพทย์
เมื่อ เด็กมีภาวะขาดน้ำ เช่น ตาโหล เพลีย ซึม กระหม่อมหน้าบุ๋มลงลึก ปัสสาวะออกน้อยลง โดยเฉพาะถ้าไม่ปัสสาวะเลยภายใน 8 ชั่วโมง หรือมีภาวะไข้สูง ซึมหรือชักเกร็ง เนื่องจากเด็กที่ถ่ายเหลวมักเสียทั้งน้ำและเกลือแร่ต่างๆ ออกมาทางอุจจาระ ถ้าไม่ได้รับสารน้ำหรือเกลือแร่ชดเชย ทำให้มีภาวะขาดสมดุลของน้ำและเกลือแร่ อาจทำให้เด็กมีอาการชักเกร็งได้
นอกจากนี้ถ้าลูกๆ อาเจียนมาก กินไม่ได้เลย หรือถ่ายมากและบ่อยครั้งหรือถ่ายเป็นมูกเลือด ควรรีบพบแพทย์ทันที
การดูแลรักษาเบื้องต้นเมื่อมีภาวะท้องเสีย
ควร ให้เด็กรับสารน้ำหรือเกลือแร่ เพื่อชดเชยอย่างพอเพียงโดยให้ สารละลายเกลือแร่(ORS) สำหรับเด็กโดยเฉพาะ ควรงดอาหารเสริมต่างๆ ชั่วคราว โดยเฉพาะงดอาหารประเภทผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ ไข่ อาหารมันๆ ควรให้รับประทานแค่ข้าวต้มอ่อนๆ รับประทานทีละน้อย แต่บ่อยๆ แทน
สำหรับ นม ถ้าเป็นนมแม่สามารถรับประทานต่อได้ แต่ถ้าเป็นนมผสมควรเจือจางนมลงเท่าตัว ถ้ายังไม่ดีอาจต้องเปลี่ยนนมเป็นนมสำหรับภาวะท้องเสียโดยเฉพาะ คือนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส เช่น โอแลค ซิมิแลค แอลเอฟ หรือแนนแอลเอฟ เป็นต้น หรืออาจรับประทานนมประเภทนมถั่วเหลือได้
ข้อควรระวังที่ สำคัญคือคุณแม่หรือผู้ดูแลไม่ควรซื้อยาแก้ท้องเสียมาให้เด็กรับประทานเอง เนื่องจากจะเกิดอันตรายต่อเด็กมากกว่า ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์สำหรับการใช้ยา
วิธีป้องกันภาวะท้องเสีย
1. ควรรับประทานนมแม่ให้นานที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรก
2. ทำความสะอาด ล้างขวดนมให้ถูกวิธี ต้มขวดในน้ำเดือด 10-15 นาที หรือใช้เครื่องนึ่งขวดนมสำเร็จรูป หรือถ้าใช้ซึ้งนึ่งควรใช้เวลา 25-30 นาที
3. ให้อาหารเสริมตามวัย ดูแลความสะอาดในการเตรียมอาหารและภาชนะที่ใส่
4. ควรเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ร้อนๆ ไม่ควรตั้งทิ้งไว้นาน และหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงจากกะทิ อาหารทะเล เนื่องจากหน้าร้อน อากาศร้อน อาหารจะบูดเสียง่าย
5. ควรมีสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมอาหาร ชงนม ให้นม หรือป้อนอาหารให้ลูก
คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก เพื่อป้องกันภาวะท้องร่วงในเด็ก
Link https://www.thairath.co.th/
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นิทรรศการเรื่อง โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
สถานการณ์โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
ในปี พ.ศ.2550 สำนักระบาดวิทยาได้รับรายงานผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 1,290,627 ราย อัตราป่วย 2050.78 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 83 ราย อัตราตาย 0.13 ต่อประชากรแสนคน อัตราป่วยตาย ร้อยละ 0.01 พิจารณาย้อนหลังสิบปี พบว่า อัตราป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราตาย และอัตราป่วยตายมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องและเริ่มคงที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (รูปที่ 1)
จากรายงานผู้ป่วยแยกรายเดือน 5 ปีย้อนหลัง พบว่า ในปี พ.ศ.2550 มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลที่แตกต่าง คือ พบผู้ป่วยจำนวนมากในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน ซึ่งปีที่ผ่านมา พบผู้ป่วยจำนวนไม่มากนัก พบผู้ป่วยจำนวนสูงสุดในเดือนมิถุนายน 131,278 ราย (ร้อยละ 10.17) รองลงมา คือ กุมภาพันธ์ 122,083 ราย (ร้อยละ 9.46) และพฤษภาคม 121,397 ราย (ร้อยละ 9.41) ต่ำสุดในเดือนกันยายน 88,666 ราย (ร้อยละ 6.87) (รูปที่ 2)
อัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิง 1 : 1.2 กลุ่มอายุต่ำกว่า 5 ปี มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด เท่ากับ 10,312.45 รองลงมา คือ มากกว่า 65 ปีขึ้นไป (2,746.20) และ 5 - 9 ปี (2,315.53) คล้ายกับในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (รูปที่ 3) ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 22.68 รองลงมา คือ รับจ้าง(16.69) นักเรียน(9.45) และไม่ระบุอาชีพ/ในความปกครอง (39.95)
ผู้ป่วยสัญชาติไทย ร้อยละ 98.99 รองลงมา คือ พม่า(0.66) กัมพูชา(0.06) และลาว(0.04) ผู้ป่วยสัญชาติพม่า พบมากในจังหวัดเชียงราย ตาก และแม่ฮ่องสอน ผู้ป่วยสัญชาติกัมพูชาพบมากในจังหวัดตราด ระยองและสมุทรปราการ ผู้ป่วยสัญชาติลาวพบมากในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อุบลราชธานี และเชียงราย
ผู้ป่วยเข้ารับการรับการรักษาที่โรงพยาบาลชุมชน ร้อยละ 48.0 รองลงมา คือ สถานีอนามัย (26.67) โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป (20.75) เป็นผู้ป่วยนอก ร้อยละ 88.29 ผู้ป่วยใน ร้อยละ 11.63 และไม่ระบุ ร้อยละ 0.08
ภาคเหนือ มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด (2,355.33) รองลงมา คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (2,093.51) ภาคใต้ (1,984.88) และภาคกลาง (1,862.43) เมื่อพิจารณาย้อนหลัง 5 ปี อัตราป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในภาคเหนือ และภาคกลาง แต่มีแนวโน้มค่อนข้างคงที่ในภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (รูปที่ 4)
จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคน สูงสุด 10 อันดับแรก คือ จังหวัดภูเก็ต (5,516.39) ปราจีนบุรี (4,119.46) ฉะเชิงเทรา (4,067.10) ระยอง (4,018.82) แม่ฮ่องสอน (3,843.29) ตาก (3,823.14) สมุทรสงคราม (3,765.63) ศรีสะเกษ (3,469.60) พะเยา (3,438.74) และลพบุรี (3,059.90) (รูปที่ 5) ผู้ป่วยอยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล ร้อยละ 80.55 และเขตเทศบาล ร้อยละ 19.45
ที่มา: สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
Link https://www.thaihealth.or.th/
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++==
สถิติโรคอุจจาระร่วง
สาธารณสุขเดินหน้าโครงการอาหารปลอดภัย
ผลักดันครัวไทยเป็นครัวโลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายทุกหน่วยงานทำงานให้เป็นเอกภาพ เร่งปรับโครงสร้างองค์กรมีเจ้าภาพชัดเจน รณรงค์คนไทยบริโภคอาหารปลอดภัย เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วย เผยสถิติผู้ป่วยเรื้อรัง 4 โรคยอดฮิตจากอาหารไม่ปลอดภัย อันดับหนึ่งความดันโลหิตสูง ส่วนโรคอุจจาระร่วงครองแชมป์โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ
เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค สุขุมวิท 22 กรุงเทพฯ นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “รวมพลังขับเคลื่อนอาหารปลอดภัย เพื่อคนไทยสุขภาพดี มีโภชนาการสมวัย ส่งเสริมครัวไทยเป็นครัวโลก” พร้อมกล่าวมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารระดับสูงและข้าราชการนำไปปฏิบัติ โดยมีนายแพทย์สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีและกล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สธ. กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยมีปัญหาด้านสุขภาพและเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ที่เกิดจากการบริโภคอาหารไม่ปลอดภัยและโภชนาการที่ไม่ถูกสุขลักษณะเพิ่มมาก ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้รณรงค์เพื่อให้ประชาชนได้บริโภคอาหารที่ ปราศจากการปนเปื้อนของสารพิษตกค้าง และเชื้อโรคต่างๆ แต่ปัญหาที่พบคือ การทำงานด้านความปลอดภัยอาหารมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่กลับขาดการประสานงานความร่วมมือแบบบูรณาการและไม่มีเจ้าภาพบริหารงาน ชัดเจน ทำให้การแก้ปัญหาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยเรื้อรังมากขึ้น แพทย์มีเวลาดูแลคนไข้น้อยลง ขณะที่ภาครัฐต้องสูญเสียงบประมาณค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น
นายแพทย์สุรวิทย์ กล่าวว่า จากปัญหาดังกล่าวจึงจำเป็นที่จะต้องมีหน่วยงานเข้ามาบริหารจัดการด้านความ ปลอดภัยของอาหารที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีนโยบายเห็นควรปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรที่ดูแลด้านอาหารปลอดภัยทั้ง ระบบของกระทรวงสาธารณสุข ให้ทำงานเชื่อมโยงกันตามแผนบูรณาการ โดยมี ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยด้านอาหารเป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วม มือระหว่างจังหวัด กรมและกระทรวงเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“การจัดโครงการครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณกระตุ้นบุคลากรด้านสาธารณสุข ให้เตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนและผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมที่ ตระหนักรู้และมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารปลอดภัย มีคุณภาพ ถูกหลักโภชนาการ รู้จักวิธีการบริโภคอาหารเพื่อป้องกันโรคและเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ซึ่งถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะส่งเสริมครัวไทยเป็นผู้นำด้านอาหารปลอดภัย ระดับครัวโลก และสร้างความเข้มแข็งให้สถานประกอบการด้านอาหารมีมาตรฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อปี และยังเป็นแบบอย่างที่ดีในระดับอาเซียนในอนาคต”รมช.สธ.กล่าว
นายแพทย์สุรวิทย์ กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบายอาหารปลอดภัยว่า นับจากนี้จะต้องเร่งสร้างความเข้มแข็งในกระบวนการบริหารจัดการอาหารตลอดห่วง โซ่อาหาร ตั้งแต่การผลิต นำเข้า แปรรูปจนถึงการจำหน่าย กระจายสู่ผู้บริโภคหรือที่เรียกว่า จากฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหาร เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยของประชาชน และเผยแพร่ข้อมูลให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มทั้งกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง กลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มที่พักฟื้นเพื่อสร้างสุขนิสัยที่ถูกต้องในการบริโภคและ ไม่กลับมาป่วยซ้ำอีก ขณะนี้ได้ประสานกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งผู้ประกอบการสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ สามารถเข้าร่วมโครงการอาหารปลอดภัย จัดส่งวัตถุดิบถึงครัวโรงพยาบาลนำไปบริการแก่ผู้ป่วยและผู้พักฟื้นที่บ้าน เพื่อบำบัดรักษาโรคเรื้อรัง นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่จะพัฒนามาตรฐานอาหารฮาลาลในโรงพยาบาล เพื่อให้บริการแก่ผู้ป่วยและผู้มารับบริการ โดยกำหนดเป้าหมายไว้ที่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป 56 แห่ง ซึ่งขณะนี้มีโรงพยาบาลยะลาและโรงพยาบาลสตูลได้รับการรับรองมาตรฐาน HAL-Q เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดเผยสถิติล่าสุด พบผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 4 โรคยอดฮิตที่มีสาเหตุ จากอาหารและโภชนาการไม่ปลอดภัยในรอบ 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549-2553 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 3,093,546 ราย โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกโรค เรียงตามลำดับดังนี้ อันดับ 1.โรคความดันโลหิตสูง มีอัตราความชุกสูงที่สุด คือพบผู้ป่วย 1,725,719 ราย หรือคิดเป็นอัตราความชุก 2,709 ต่อประชากรแสนคน อันดับ 2.โรคเบาหวาน มีจำนวน 888,580 ราย คิดเป็นอัตราความชุกเท่ากับ 1,394 ต่อประชากรแสนคน อันดับ 3.โรคหัวใจขาดเลือด พบ 171,353 ราย อัตราความชุก 268 ต่อประชากรแสนคน อันดับ 4.โรคหลอดเลือดสมอง พบ 140,243 ราย อัตราความชุก 220 ต่อประชากรแสนคน
สถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อทางอาหารและน้ำที่สำคัญ เช่น โรคอุจจาระร่วง จากรายงานการเฝ้าระวังโรคในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า โรคอุจจาระร่วงมีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด เมื่อปี 2554 มีรายงานผู้ป่วยทั่วประเทศ จำนวน 1,303,921 ราย คิดเป็นอัตราป่วยเท่ากับ 2,041 ต่อประชากรแสนคน พบผู้เสียชีวิต 56 ราย และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-12 เม.ย. 55 พบผู้ป่วย 377,780 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 591.41 ต่อแสนประชากร มีผู้เสียชีวิต 8 ราย
อหิวาตกโรค ในปี 2554 มีผู้ป่วยจำนวนทั้งสิ้น 279 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.44 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 4 ราย อัตราป่วยของอหิวาตกโรคมีแนวโน้มลดลงจากปี 2553 เกิดการระบาดของอหิวาตกโรคครั้งใหญ่อีกครั้ง พบผู้ป่วยทั้งสิ้น 1,597 ราย อัตราป่วย 2.51 ต่อประชากรแสนคน สำหรับปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 12 เม.ย. 55 พบผู้ป่วย 18 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต
โรคอาหารเป็นพิษในช่วงปีที่ผ่านมา มีอัตราป่วยลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน สำหรับปี 2554 ได้รับรายงานผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษจำนวน 100,534 ราย คิดเป็นอัตราป่วยเท่ากับ 157.38 ต่อประชากรแสนคน พบผู้เสียชีวิต 4 ราย และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-12 เม.ย. 55 พบผู้ป่วย 30,317 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 47.46 ต่อแสนประชากร มีผู้เสียชีวิต 1 ราย
นายแพทย์สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้มีหนังสือสั่งการไปยังหน่วยงานระดับสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเร่งนำนโยบายไปปฏิบัติตามแผนบูรณาการอาหารปลอดภัยในปี 2555 โดยแต่งตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยด้านอาหารระดับจังหวัด เพื่อสุ่มตรวจตัวอย่างอาหาร สถานประกอบการ ตลาด ร้านอาหารและอุบัติการณ์เกิดโรค พร้อมจัดทำตัวชี้วัดหรือเป้าหมาย และการติดตามประเมินผล การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่ดูแลห่วงโซ่อาหารตั้งแต่ต้นน้ำคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแลการผลิตระดับฟาร์ม ส่วนกลางน้ำและปลายน้ำมีกระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบและเฝ้าระวัง ด้านกระทรวงพาณิชย์ดูแลการค้าขายอาหาร และยังเป็นตัวแทนเจรจาการค้าบนเวทีระดับอาเซียนเพื่อส่งเสริมให้ครัวไทยเป็น ครัวโลก ทั้งนี้มีหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และภาคเอกชน เป็นต้น เพื่อให้อาหารมีความสะอาดปลอดภัย
“เมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว จะทำให้เกิดการส่งออกและนำเข้าอาหารระหว่างประเทศมากขึ้น ก็ยิ่งต้องเพิ่มมาตรการควบคุมดูแล ระบบตรวจสอบตามด่านชายแดนเข้มงวดมากขึ้น โดยเตรียมเครื่องมือและบุคลากรตลอดจนฐานข้อมูลด้านความปลอดภัยอาหาร เพื่อประสานงานกันระหว่างประเทศ หากเกิดกรณีฉุกเฉินด้านอาหารไม่ปลอดภัยหรือภัยก่อการร้ายในรูปแบบสารปน เปื้อนอาหารที่เป็นอันตรายต่อชีวิตคนจำนวนมาก ทั้งนี้มีองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยด้านอาหารเป็นฝ่ายประสานงาน”รอง ปลัด สธ.กล่าว
ด้านนางจงกลนี วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยด้านอาหาร (ศปอ.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าจากการตรวจสอบตัวอย่างอาหารของกระทรวงสาธารณสุข ในปี 2554 จาก 435,740 ตัวอย่าง ยังพบไม่ปลอดภัยจากสารปนเปื้อนทางเคมีและเชื้อจุลินทรีย์จำนวน 15,869 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 3.65 อาหารที่ตกมาตรฐานมากที่สุด 3 อันดับ แรก ได้แก่ 1) น้ำแข็ง 2) น้ำดื่ม และ 3) อาหารปรุงจำหน่าย โดยพบจุลินทรีย์ที่มือพ่อค้า แม่ค้าหยิบจับอาหาร ส่วนผลการตรวจตลาดสดจำนวน 808 แห่ง ผ่านเกณฑ์ตลาดสดน่าซื้อจำนวน 724 แห่ง (ปลอดภัยร้อยละ 89.60) และตรวจร้านอาหารและแผงลอยจำหน่ายอาหาร จำนวน 78,929 แห่ง ผ่านเกณฑ์อาหารสะอาด 69,560 แห่ง (ปลอดภัยร้อยละ 88.13) จากผลการดำเนินงานถือว่าน่าพอใจเพราะเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 80 % แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงพบน้ำแข็ง น้ำดื่ม และอาหารปรุงจำหน่าย ตกมาตรฐาน สาเหตุอันเนื่องมาจากพ่อค้า แม่ค้า ปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะ เช่น ไม่ล้างมือ ไม่ทำความสะอาดภาชนะที่ใช้ในการผลิตอาหาร ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดอาการอาเจียน ท้องเสีย และมีไข้ได้ สำหรับในปีนี้แต่ละจังหวัดตั้งเป้าหมายสูงกว่าเดิม เพื่อยกมาตรฐานให้ตลาดสดมีความสะอาดและน่าซื้อมากขึ้น โดยรมว.สธ.มอบหมายให้ทุกจังหวัดดำเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อให้อาหารปลอดภัย 100%
ทั้งนี้ ภายหลังจากนายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สธ. กล่าวมอบนโยบายเสร็จแล้ว ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแด่ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงสาธารณสุข ด้านอาหารปลอดภัยให้แก่ ศ.ดร.นพ.คาซูโนริ โออิชิ จากมหาวิทยาลัยโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะเป็นผู้วิจัยอุบัติการณ์โรคไข้หูดับหรือโรคติดเชื้อ Streptococcus suis ในประเทศไทย โดยร่วมมือกับศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยด้านอาหารในการนำร่องการรณรงค์ที่ จังหวัดพะเยา เพื่อให้คนไทยเลิกบริโภคเนื้อหมูสุกๆ ดิบๆ อย่างลาบ หลู้ ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับ
นอกจากนี้ยังได้มอบรางวัลโรงพยาบาลต้นแบบอาหารปลอดภัย จำนวน 4 แห่ง และรางวัลโรงพยาบาลมาตรฐานอาหารฮาลาล จำนวน 2 แห่ง รางวัลทีมงานอาหารปลอดภัยเข้มแข็งระดับจังหวัด จำนวน 21 แห่งและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 15 แห่ง