โรคหูดหงอนไก่ เพศหญิง โรคหูดหงอนไก่ในผู้หญิง สมุนไพรรักษาโรคหูดหงอนไก่


39,279 ผู้ชม


โรคหูดหงอนไก่ เพศหญิง โรคหูดหงอนไก่ในผู้หญิง สมุนไพรรักษาโรคหูดหงอนไก่

              โรคหูดหงอนไก่ เพศหญิง

   
 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
 
  
ลักษณะนูนเหมือนหัวกะหล่ำ

  
ตุ่มนูนเล็กผิวด้านบนแห้งหนา

  
ตุ่มนูนแต่แบนด้านบน

  
เป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ ลักษณะชุ่มชื้น

 
   
  หูดหงอนไก่...ไม่ถึงตายแต่ทำลายความมั่นใจ (ตอนที่ 1)   เจนจิต ฉายะจินดา .  
 

หูดหงอนไก่...ไม่ถึงตายแต่ทำลายความมั่นใจ (ตอนที่ 1)

 

อ.พญ.เจนจิต  ฉายะจินดา 

ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

            หูดหงอนไก่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ยังคงพบได้มากในปัจจุบันถึงแม้จะมีการรณรงค์การป้องกันดีอย่างไรก็ตาม  เนื่อง จากลักษณะนิสัยของไวรัสต้นเหตุที่เรียกว่าฮิวแมน แปปิโลมาไวรัส (เอชพีวี)ที่ถ่ายทอดถึงกันได้ง่ายโดยผู้ที่ให้เชื้ออาจจะไม่มีอาการอะไรเลย  และผู้รับเชื้ออาจได้รับเชื้อนั้นมานานหลายปีกว่าจะเกิดอาการ  ในปัจจุบันพบว่าหญิงชายวัยเจริญพันธุ์ร้อยละ 1 มีหูดหงอนไก่  โดยจะพบรอยโรคในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย  หูดหงอนไก่ไม่ได้ทำให้ใครเสียชีวิต  แต่ทำลายความมั่นใจในชีวิตอย่างมาก รวมทั้งต้องเสียเงินและเวลาในการรักษามากมาย  แต่สุดท้ายกลับพบว่า ร้อยละ 30- 70 เกิดซ้ำหลังจากหยุดการรักษาไป 6 เดือน

หูดหงอนไก่เกิดจากอะไร 

            หูดหงอนไก่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีชนิดความเสี่ยงต่ำ  ปัจจุบันมีการค้นพบไวรัสเอชพีวีกว่า 200 สายพันธุ์  แต่มีเพียง 40 สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก  แบ่งเพิ่มเติมลงไปอีกเป็นชนิดความเสี่ยงสูงซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง  ได้แก่ สายพันธุ์ 16, 18 เป็นต้น  และ ชนิดความเสี่ยงต่ำซึ่งไม่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง ได้แก่ 6, 11 เป็นต้น  ในกลุ่มหลังนี้สัมพันธ์กับการเกิดหูดหงอนไก่

            ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อเอชพีวีจะต้องเป็นโรคใดโรคหนึ่ง  พบว่าร้อยละ 75 ของหญิงชายวัยเจริญพันธุ์ได้รับเชื้อนี้ไปแล้ว  แต่ประมาณร้อยละ 80-90  จะสามารถกำจัดเชื้อไปได้เองที่ 2 ปี   ยกเว้นผู้ที่มีภูมิต้านทานในร่างกายต่ำ เช่น การตั้งครรภ์  โรคเอดส์ เป็นต้น  จะเห็นได้ว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เกิดรอยโรคได้  อย่างไรก็ดี ผู้ที่ไม่มีอาการใดเลยก็สามารถถ่ายทอดเชื้อไปให้ผู้อื่นได้

            ตั้งแต่รับเชื้อมาจนเกิดอาการเป็นได้ตั้งแต่ 1 เดือน – 2 ปี หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 3-4 เดือน  เชื้อไวรัสชนิดนี้จะเข้าไปรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์ชั้นล่างสุดของเยื่อบุ ซึ่งมีการแบ่งตัวตลอดเวลาเพื่อซ่อมแซมชั้นที่เหนือขึ้นไป  เมื่อมีการติดเชื้อไวรัส  เซลล์ที่แบ่งตัวจะเปลี่ยนรูปร่างและหน้าที่จนควบคุมไม่ได้  เกิดเป็นเนื้องอกนูนออกมา

อะไรคือลักษณะของหูดหงอนไก่ 

            อาการของโรคหูดหงอนไก่เป็นได้ตั้งแต่ ไม่มีอาการเลย  ไปจนถึงมีก้อนโตมากจนอุดกั้นช่องคลอด  ทวารหนัก  หรือท่อปัสสาวะ  บางรายมีเลือดออกจากก้อน  คันถึงคันมาก  ตกขาวผิดปกติ  หรือแม้แต่แสบร้อนที่อวัยวะเพศ

            การวินิจฉัยมักทำได้โดยการดูรอยโรค  ซึ่งเป็น 4 แบบ  ได้แก่ นูนยื่นออกมาคล้ายดอกกะหล่ำปลี,  ตุ่มนูนเล็กๆ  แห้งๆ คล้ายมีขี้ไคลคลุม, ตุ่มนูนแบน, และ ตุ่มนูนเล็กสีเนื้อชุ่มชื้น   บางคนมีหลายชนิดปนกันได้  หูดอาจมีขนาดแตกต่างกัน  เรียงตัวติดกันหรือกระจายไปทั่ว  อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของผู้ที่ติดเชื้อเอชพีวีกลับไม่พบว่ามีรอยโรคเลย 

รอยโรคที่หลากหลายนี้ทำให้เกิดความสับสนกับโรคอื่นๆได้ ได้แก่ ผื่นของโรคซิฟิลิสระยะที่ 2  หูดข้าวสุก  ไฝ  โรคผิวหนังบางชนิด  จนถึงลักษณะปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ของบางคนที่มีติ่งยื่นออกมาคล้ายหูดหงอนไก่

การรักษาโรคหูดหงอนไก่ 

            เป้าหมายของการรักษาคือ ความสวยงาม  บรรเทาอาการ  และลดความกังวลใจ  วิธีการรักษามีให้เลือกหลายรูปแบบทั้ง การใช้ยาหรือการใช้อุปกรณ์เพื่อกำจัดหูดออกไป  แพทย์เป็นผู้ทำให้หรือผู้ป่วยทำเอง  ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกวิธีการรักษา ได้แก่ ความชอบของผู้ป่วย  ราคา  ผลข้างเคียงของการรักษา  และประสบการณ์ของแพทย์  โดยทั่วไปหูดที่มีขนาดเล็กกว่าย่อมรักษาได้ง่ายกว่า  โดยพบว่าถ้าขนาดเล็กกว่า 1 ตารางเซนติเมตรมักรักษาด้วยยาสำเร็จ  ประสิทธิภาพของวิธีการรักษาแตกต่างกันไปและมีโอกาสเกิดซ้ำขึ้นได้อีกทุกวิธี  โดยเฉพาะช่วง 6 เดือนแรกหลังสิ้นสุดการรักษา

            การรักษาด้วยยาชนิดที่แพทย์ทาให้  โดยแพทย์มักจะนัดทุก 1 สัปดาห์  โดยก่อนทายาทุกครั้งผู้ป่วยควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเสมอเพราะหลังจากทายาแล้วไม่ควรให้รอยทายาโดนน้ำอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง  ยามีหลายชนิดให้เลือกใช้  ชนิดแรก คือ โพโดฟีโลทอกซิน (Podophylotoxin) เป็นสารสีเหลืองน้ำตาล  ลักษณะเหนียว  ทำให้เซลล์ตายโดยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์  ยานี้อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เป็นแผล และปวด  หากเข้าสู่กระแสเลือดอาจทำให้เส้นประสาทอักเสบ ชาตามตัว เม็ดเลือดขาวต่ำ และ เกล็ดเลือดต่ำ  ยาทาชนิดที่ 2 คือ ไตรคลอโรเซติกแอซิด (80-90% Trichloroacetic acid; TCA)  ออกฤทธิ์โดยทำให้โปรตีนในเซลล์เสื่อมสภาพเป็นเซลล์ตาย  หูดที่มีก้านมักหลุดออกไปภายใน 2-3 วัน  ทำให้เกิดผิวหนังระคายเคือง เป็นแผลเลือดออกได้

            ยาที่ให้ผู้ป่วยทาเองในปัจจุบันมี 2 ชนิด ได้แก่ อิมิควิโมด (5% Imiquimod/ Aldara®) ทา 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ไม่เกิน 16 สัปดาห์   ยานี้จะกระตุ้นภูมิต้านทานเฉพาะที่   ให้ร่างกายกำจัดไวรัสเอชพีวีด้วยตัวเอง  ข้อเสียคืออาจทำให้เกิดผื่นแดงเฉพาะที่   และ โพโดฟิลอก (Podofilox 0.5%)   เป็นยาที่ยับยั้งการแบ่งเซลล์  วิธีการใช้คือทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน แล้วเว้น 4 วัน  แต่ไม่เกิน 4 รอบ  อาจทำให้เกิดระคายเคืองเล็กน้อย  เช่นเดียวกับยาที่แพทย์ทาให้  ก่อนทายาเองทุกครั้งผู้ป่วยควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเสมอเพราะหลังจากทายาแล้วไม่ควรให้รอยทายาโดนน้ำอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง  

 

หูดหงอนไก่นำไปสู่อะไรได้บ้าง 

            หูดหงอนไก่ไม่ทำให้เกิดมะเร็ง  แต่ธรรมชาติของการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีอาจติดเชื้อได้หลายสายพันธุ์พร้อมกัน  หากติดสายพันธุ์ชนิดความเสี่ยงสูงร่วมด้วยก็มีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งขึ้น  หูดหงอนไก่ที่ใหญ่ในระหว่างการตั้งครรภ์อาจขัดขวางการคลอดจนต้องผ่าตัดคลอดได้  และหูดหงอนไก่ยังสามารถเกิดที่คอหอย หลอดลม หรือเส้นเสียงของทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคนี้  ทำให้มีผลต่อการหายของทารกจนอาจเสียชีวิตได้  การรักษามักต้องผ่าตัดออกซึ่งมักต้องทำหลายครั้ง  สร้างความทุกข์ทรมานมาก

การเกิดซ้ำของหูดหงอนไก่

            เกิดได้บ่อยถึงร้อยละ 70  ที่ระยะเวลา 6 เดือนหลังสิ้นสุดการรักษา  สาเหตุเป็นได้ตั้งแต่ ยาไม่มีประสิทธิภาพ  การติดเชื้อซ้ำจากคู่นอน  หรือ  การเกิดรอยโรคจากเชื้อในร่างกายตนเองที่เพิ่งก่อให้เกิดรอยโรค

หูดหงอนไก่สามารถป้องกันได้หรือไม่

            จะเห็นได้ว่าไม่มีการรักษาวิธีใดดีที่สุดหรือสามารถรับประกันได้ว่าโรคนี้จะหายขาดได้  รวมถึงคู่ชีวิตของผู้ป่วยก็มักจะติดเชื้อเอชพีวีไปเรียบร้อยแล้ว  วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่มีเพศสัมพันธ์กับใครเลยตลอดชีวิต  แม้ กระนั้นก็ตาม การสัมผัสอย่างรุนแรงที่อวัยวะเพศภายนอกด้วยวัตถุหรืออวัยวะที่มีเชื้อไวรัส เอชพีวีนี้ก็ยังคงสามารถทำให้เกิดโรคนี้ได้

            ถุง ยางอนามัยเป็นอุปกรณ์ที่สามารถลดการถ่ายทอดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ หลายชนิด ตั้งแต่ เอดส์ หนองใน หนองในเทียม พยาธิในช่องคลอด เป็นต้น  แต่ไม่สามารถลดการถ่ายทอดเชื้อไวรัสเอชพีวีได้ดีเพราะ เชื้อนี้สามารถกระจายอยู่ได้ทั่วไป ตั้งแต่รอบทวารหนัก ฝีเย็บ หัวเหน่า เป็นต้น  ซึ่งเป็นบริเวณที่ถุงยางอนามัยไม่ครอบคลุมถึง

            ปัจจุบันมีการคิดค้นวัคซีนที่สามารถลดการเกิดโรคหูดหงอนไก่ได้  หากได้รับการฉีดตั้งแต่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน  จากหลักการที่ว่า ร้อยละ 90ของหูดหงอนไก่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ 6 และ 11  การผลิตวัคซีนได้ใช้ส่วนเปลือกของไวรัสส่วนเล็กๆ มาผสมกับสารกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกาย  เมื่อฉีดแล้วร่างกายจะจะมีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาในระดับที่สูงมาก  จนสามารถลดการติดเชื้อของไวรัสที่เซลล์ของเยื่อบุได้  ดังนั้นการแบ่งตัวของเซลล์ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง  และไม่เกิดเป็นตุ่มนูนขึ้นมา  อย่างไรก็ตามวัคซีนนี้จะมาในรูปร่วมกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเข็มเดียวกัน  ไม่มีการทำวัคซีนแยกออกมา  เป็นวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ 6, 11, 16, และ 18


                    Link     https://www.si.mahidol.ac.th

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                   โรคหูดหงอนไก่ในผู้หญิง

โรคหงอนไก่

โรคหงอนไก่เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังเกิดจากเชื้อ HPV มักจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ลักษณะเป็นผื่นยื่นออกมา การรักษาจะทำได้โดยการจี้ด้วยยา

โรคหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ

โรคหูดที่อวัยวะเพศหรือที่เรียกว่า Condyloma acuminatum เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า human papillomavirus (HPV) ซึ่งมีมากกว่าร้อยชนิด โรคหูดส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เกิดจากเชื้อ HPV type 6,11ซึ่งไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ชนิดที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้แก่ชนิด types 33, 35, 39, 40, 43, 45, 51-56, 58 ชนิดชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งได้มากได้แก่ชนิด (types 16, 18)


ตำแหน่งที่พบโรคหูด

โรคหูดที่อวัยวะเพศตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย penis, แคมใหญ่ vulva, ช่องคลอด vagina, ปากมดลูก cervix, บริเวณหัวเหน่า perineum, และบริเวณรอบๆทวารหนัก perianal ตำแหน่งอื่นที่อาจจะพบได้แก่ คอ หลอดลม บางแห่งติดเชื้อแต่ไม่มีอาการซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง

ลักษณะของหูดเป็นอย่างไร

หูดจะมีลักษณะแบน สีออกชมภูหรือดำ มักจะไม่เป็นติ่ง มักจะเกิดได้หลายๆแห่ง

โรคนี้พบบ่อยแค่ไหน

  • เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุด มักจะพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่ม
  • ผู้ที่มีโรคทำให้ภูมิอ่อนแอ เช่นโรคเบาหวาน ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีขนาดของหูดใหญ่กว่าปกติ กลับเป็นซ้ำหรือมีโรคแทรกว้อน
  • โรคนี้อาจจะกำเริบในขณะตั้งครรภ์ทำให้หูดมีขนาดใหญ่และขวางการคลอดตามธรรมชาติ
หูดที่อวัยวะเพศหญิง หูดที่ทวาร หูดที่อวัยวะเพศ หูดที่ปลายอวัยวะเพศ
fbgoogle

อาการของโรคเป็นอย่างไร

  • ผู้ที่สูบบุหรี่ ทานยาคุมกำเนิด มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้
  • ประมาณร้อยละ60ของผู้ป่วยจะเกิดโรคหูดหลังจากสัมผัสผู้ป่วยไปแล้วประมาณสามเดือน
  • อาการทีสำคัญของผู้ป่วยโรคหูดคือ มีก้อนไม่เจ็บปวด อาจจะมีอาการคัน หรือมีตกขาว
  • สำหรับผู้ที่มีประวัติมีเพศสัมพันธ์ทางทวาร หรือทางปากอาจจะมีก้อนบริเวณดังกล่าว
  • ผู้หญิงอาจจะมาด้วยเรื่องมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ส่วนผู้ชายอาจจะมีปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่ออก

แพทย์จะตรวจหาหูดได้ที่ไหนบ้าง

สำหรับผู้ชาย

  • พบก้อนได้บริเวณอวัยวะเพศ
  • ส่วนหัวของอวัยวะเพศ
  • หรือเยื่อบุในท่องปัสสาวะ
  • สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักอาจจะก้อนบริเวณรอบทวารหนัก

สำหรับผู้หญิง

  • ผิวหนังแถวอวัยวะเพศ
  • แคมใหญ่ แคมเล็ก
  • ช่องคลอด
  • ทวานหนัก

แพทย์จะต้องตรวจพิเศษอะไรบ้าง

การที่ท่านเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แพทย์จะต้องตรวจหาว่าท่านติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างอื่นอีกหรือไม่ โดยจะตรวจ

  • หนองในแท้ หนองในเทียม
  • โรคเอดส์
  • โรคซิฟิลิส
  • ตรวจภายในทำ PAP Smear
  • ตรวจหารการติดเชื้อโดยที่ไม่มีอาการ โดยการใช้ acetic acid ปิดไว้ห้านาที แล้วใช้แว่นขยายส่อง ซึ่งอาจจะพบรอยโรค
  • การตัดชิ้นเนื้อตรวจ

การรักษา

หลักการรักษาเมื่อพบหูดจะเอาหูดออก หากไม่รักษา ก้อนอาจจะมีขนาดเท่าเดิม หรือหายไปเอง หรืออาจจะมีขนาดใหญ่ขึ้น การเอาก้อนหูดออกไม่ได้กำจัดการติดเชื้อ HPV ออกจากร่างกาย การเอาหูดออกจะลดการติดต่อลง

  • การจี้ด้วยความเย็น Cryotherapy
    • ใช้ความเย็น(nitrogen เหลว) จี้บริเวณเนื้องอก 10-15 วินาที และสามารถทำซ้ำได้ ระวังอย่าให้ถูกผิวหนังบริเวณที่ดี
    • การใช้ความเย็นจี้เป็นวิธีการรักษาสำหรับหูดโดยเฉพาะที่รอบทวารหนัก
    • การตอบสนองต่อการรักาาดี และมีแทรกซ้อนน้อย
    • โรคแทรกซ้อนที่สำคัญได้แก่ เกิดผล ปวดขณะทำ สีผิวซีดลง
    • สามารถทำในคนท้องได้
  • การใช้ไฟฟ้าจี้ ไม่แนะนำเพราะควันที่เกิดอาจจะติดต่อได้
  • การขูดเอาเนื้องอกออก Curettage
  • การผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อออก Surgical excision
    • การผ่าตัดจะให้ผลดี และมีโรคแทรกซ้อนต่ำ และอัตราการเป็นซ้ำต่ำ
    • อัตราการหาย 63-91%.
  • การใช้ Laser Carbon dioxide laser treatment
    • ใช้ Laserในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่ หรือเป็นซ้ำ
    • ข้อระวังควันที่เกิดอาจจะติดต่อได้
    • ต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ทา
  • การใช้ยาทาภายนอกได้แก่
    • Podophyllin เป็นยาที่ใช้ทาภายนอกที่ตัวหูด ให้ทาสัปดาห์ละครั้ง ข้อระวังของการใช้ยานเพื่อป้องกันมิให้ยาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายี้ได้แก่
      • การใช้ยาแต่ละครั้งไม่ควรเกิน <0.5 mL
      • ขนาดของหูดไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไปโดยไม่เกิน 10 cm2
      • บริเวณที่ทาไม่ควรมีแผล เพราะยาอาจจะถูกดูดซึม
      • หลังทาปล่อยให้แห้ง และล้างออกหลังจากทาไปแล้ว 1-4 ชม
    • TCA (trichloracetic acid)เป็นยาที่ใช้ทาภายนอก ห้ามถูกผิวหนังที่ดี
  • การให้ผู้ป่วยทายาเอง
    • Podofilox 0.5% solution or gel. ให้ทาที่ตัวหูดวันละสองครั้งเป็นเวลาสามวัน และหยุดทาสี่วันให้ทำซ้ำได้สี่ครั้ง ยานี้ไม่ควรใช้ในคนท้อง และไม่ควรใช้ยาปริมาณมากเกินไป
    • Imiquimod 5% cream ให้ทายานี้ก่อนนอน อาติตย์ละ 3 วันเป็นเวลา 16 สัปดาห์

การป้องกันการติดเชื้อโรคหูด

หญิงหรือชายวัยเจริญพันธุ์สามารถป้องกันการติดเชื้อโรคหูดโดย

  • งดการมีเพศสัมพันธุ์เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด แต่น้อยคนที่ทำได้
  • ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ เพราะนั้นย่อมหมายถึงคุณก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
  • ไม่ควรจะเปลี่ยนคู่นอน
  • หากผู้ที่มีหูดควรจัดการรักษาให้หายเรียบร้อยก่อนจึงจะมีเพศสัมพันธุ์
  • ให้สวมถุงยางทุกครั้งที่มีเพศสัมพันะธุ์ที่ไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัย
  • การฉีดวัคซีนป้องกัน

อ่านเพิ่มเติมที่นี่

โรคที่เกี่ยวข้อง

                Link              https://www.siamhealth.net/

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

               สมุนไพรรักษาโรคหูดหงอนไก่

โรคหูดหงอนไก่คืออะไร
ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคหูดหงอนไก่ ดังนี้ค่ะ
HPV หรือในชื่อเต็มว่า Human Papilloma Virus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดหูดชนิดต่างๆ มีมากกว่า 180 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็ก่อโรคหูดแตกต่างกันไป ที่สำคัญมีหลายสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศ
หูดหงอน ไก่ เป็นหูดที่เรารู้จักกันดีมานาน แต่เดิมเราก็ไม่ได้เฉลียวใจถึงความร้ายกาจของมัน เป็นมาก็รักษากันไป แต่ในตอนหลังเราพบว่า หูดเหล่านี้นอกจากจะเกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ เบอร์ 6 และ เบอร์11 แล้วก็มีหลายรายที่เกิดจากสายพันธุ์เบอร์ 16 และเบอร์ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดุมีโอกาสทำให้กลายเป็นมะเร็งได้ หูดหงอนไก่จึงไม่ใช่หูดธรรมดาๆ อย่างที่เราเคยรู้จักกันซะแล้ว
การ ติดเชื้อ HPV มีมากแค่ไหน มีการประมาณการกันว่า ประชากรของไทยเรา ประมาณ 20 – 40 % ติดเชื้อ HPV แต่ส่วนใหญ่การติดเชื้อนั้นไม่แสดงอาการ ส่วนที่มีอาการไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ธรรมดาหรือสายพันธุ์ดุ ก็มีโอกาสหายเองได้เหมือนกัน โดยที่คนอายุน้อยมีโอกาสหายได้เองมากกว่าคนอายุมาก
หูดของอวัยวะสืบพันธุ์ มีอาการแสดงออกหลายแบบ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
1. หูดหงอนไก่ ( condyloma accuminata) เป็นหูดที่เรารู้จักกันดี โดยเฉพาะนักเที่ยวทั้งหลายทราบซึ้งกันเป็นอย่างดี มีลักษณะเป็นดอกกะหล่ำหรือแบบหงอนที่หัวไก่ชน เป็นติ่งเนื้ออ่อนๆ สีชมพู คล้ายหงอนไก่ หูดชนิดนี้ ชอบขึ้นตรงบริเวณที่อับชื้นและอุ่น
2. หูดผิวเรียบ (smooth papular warts) มีสีเนื้อ ผิวเรียบขนาด 1 – 4 มิลลิเมตร มักพบบริเวณเยื่อบุต่างๆ แต่ที่ผิวหนังก็อาจพบได้ ที่พบบ่อยๆ ก็ตรงโคนอวัยวะที่ถุงยางอนามัยคลุมไม่ถึง
3. หูดผิวหนัง (keratotic genital warts) ลักษณะก็เหมือนหูดตามผิวหนังทั่วไป บางรายอาจพบหูดนี้ ตามร่างกายก่อนที่จะเป็นที่อวัยวะเพศด้วยซ้ำไป
4. หูดแบน (flat warts) อาจเป็นหลายจุดใกล้ๆกันแล้วรวมตัวเป็นปื้นใหญ่ มักพบตามเยื่อบุต่างๆ หรือตามผิวหนังก็อาจพบได้
นอกจากนี้ยังมีชนิดย่อยๆ ที่พบได้เช่น
หูดยักษ์ ( Giant Condyloma Accumunata หรือ Buschke-Lowenstein tumor) เกิดจาก HPV สายพันธุ์ไม่ดุ (6, 11) แต่ดูน่ากลัวเพราะมีขนาดใหญ่
หูดในท่อปัสสาวะ ( Urethral Meatus Warts) เป็นหูดที่มีปัญหาในการรักษามากที่สุด เพราะมักจะไม่หายขาด หายแล้วกลับมาเป็นอีก เพราะนอกจากจะเกิดบริเวณปลายท่อปัสสาวะให้เจ้าของเห็นแล้ว ก็อาจยังมีในท่อปัสสาวะที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วย
หูดในทวารหนัก (Intra-Anal Warts) หูดพวกนี้พบมากในพวกเกย์ พบว่าเยื่อบุในทวารหนักมีลักษณะคล้ายกับบริเวณปากมดลูกจึงมีโอกาสเกิด มะเร็งได้เช่นเดียวกับปากมดลูก เมื่อปีที่แล้วมีรายงานใน New England Journal of Medicine ว่าพบมะเร็งที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ในทวารหนักด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามะเร็งนั้นกลายพันธุ์มาจากหูดที่เกิดจากเชื้อ HPV
อวัยวะเพศอักเสบจากหูด (Papillomavirus-associat balanoprosthitis) อันนี้พบค่อนข้างบ่อย จะเกิดรอยแผลแตกเป็นร่องๆ โดนน้ำหรือโดนของเหลวในช่องคลอดจะแสบ เวลาแข็งตัวหรือเวลาร่วมเพศจะเจ็บ รักษาไม่ค่อยจะหายขาด เป็นๆหายๆ
มะเร็ง ปากมดลูก เดิมที่เราเคยโทษว่าเกิดจากเริมนั้น เดี๋ยวนี้พิสูจน์แล้วว่าเกิดจากเชื้อ HPV นี่แหละ ดังนั้นถ้าท่านเป็นหูดหงอนไก่ตรงอวัยวะเพศ ก็คงต้องตรวจป้องกันมะเร็งปากมดลูก (Pap smear) บ่อยหน่อย ตรวจปีละครั้งอาจไม่พอซะแล้ว หรือถ้าตรวจ Pap smear แล้วพบว่ามีเชื้อ HPV อยู่ละก้อ หมอก็ต้องตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย
หญิงมีครรภ์ ถ้าเป็นหูดหงอนไก่อยู่ด้วย หูดจะขยายตัวอย่างเร็วมาก เพราะมีเลือดมาเลี้ยงมากในช่วงตั้งครรภ์ ต้องรีบรักษาแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอุปสรรคต่อการคลอดได้ ซึ่งถ้าพบตอนคลอด หมอก็จะผ่าให้คลอดทางหน้าท้องแทนการคลอดตามธรรมชาติ
ในผู้ชาย: มักพบที่อวัยวะเพศ ส่วนที่อยู่ใต้หนังหุ้มปลายท่อปัสสาวะ อัณฑะ
ในผู้หญิง: พบได้ที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูกทวารหนัก และฝีเย็บ
ระยะ ฟักตัว ประมาณ 1 ถึง 6 เดือน หลังรับเชื้อมาแล้ว บางราย แค่สัปดาห์ก็แสดงอาการ บางรายเป็นเดือนๆค่อยแสดงอาการ แต่หลายๆราย ก็ไม่แสดงอากรเลยก็มี
การติดต่อ
โดยการร่วมเพศ และสัมผัสทางเพศกับผู้ป่วย
การป้องกัน ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะป้องกันได้นอกจากใช้ถุงยางอนามัยกับหญิงอื่นที่มิใช่ ภรรยา หรือ ในชายรักร่วมเพศก็ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเท่านั้น
การรักษา
การรักษามีหลายแบบ ทั้งทายา จี้เย็น จี้ด้วยไฟฟ้า เลเซอร์หรือแม้แต่การตัดออก แต่โดยปกติหมอจะเริ่มด้วยการทายา
ที่มา ที่ต้องขอขอบคุณด้วยค่ะ : BangkokHealth
Link : https://www.bangkokhealth.com/consult_htdoc/Question.asp?GID=6198

+++++++++++++++++++++++=+++++++++=+++++++++++

        

อัพเดทล่าสุด