โรคปัสสาวะอักเสบpantip ผักผลไม้แก้โรคปัสสาวะอักเสบ ยาสมุนไพรแก้โรคปัสสาวะกลั้นไม่อยู่
โรคปัสสาวะอักเสบpantip
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ |
กระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดขึ้นกับผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชาย ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้นกว่า
อาการ ของกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือปัสสาวะบ่อย ออกน้อย ปัสสาวะไปแล้วแต่ก็ยังปวดปัสสาวะอีก เวลาปัสสาวะจะแสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนปัสสาวะจะสุด จะปวดมาก หากอาการอักเสบเป็นมากจะมีปัสสาวะออกมาเป็นสีน้ำล้างเนื้อ ซึ่งแสดงว่ามีเลือดปนออกมา หรือถ้าเป็นมาก ๆ ก็จะปัสสาวะออกมาเป็นเลือดสด ๆ เลย
ที่จริงอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบรักษาให้หายขาดได้ โดยการใช้ยาปฏิชีวนะแต่ต้องกินติดต่อกันนานประมาณ 7 วันเป็นอย่างต่ำ
ถ้า ใครกินยาไม่ครบ เชื้อแบคทีเรียมักจะดื้อยา และกลับเป็นขึ้นมาใหม่ กลายเป็นโรคเรื้อรัง แต่บางครั้งบางคนเป็นโรคนี้เรื้อรังเพราะนิสัยส่วนตัว กล่าวคือ
สาเหตุใหญ่ของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือ การกลั้นปัสสาวะ ความเป็นจริงมีอยู่ว่า ในน้ำปัสสาวะบางครั้งมักจะมีแบคทีเรียอยู่ปะปนด้วย แต่ปริมาณไม่มากพอที่จะทำให้เกิดอาการอักเสบ หากปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะถูกระบายออกไปเรื่อย ๆ ก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น
ใน ทางตรงข้าม หากกลั้นปัสสาวะเอาไว้ แบคทีเรียที่อยู่ในน้ำปัสสาวะก็จะมีเวลาแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นมา ยิ่งกลั้นปัสสาวะนานแบคทีเรียก็ยิ่งมาก โอกาสติดเชื้อก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นใครที่ชอบกลั้นปัสสาวะจึงมักจะมีอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
บาง ครั้งแม้ว่ารักษาไปแล้ว แต่นิสัยการกลั้นปัสสาวะยังไม่ได้แก้ เดี๋ยวก็จะติดเชื้อกลับขึ้นมาอีก ทำให้เกิดอาการปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง เดี๋ยวเป็น เดี๋ยวเป็น ไม่หายสักที
วิธีรักษาอาการนี้ทำได้ด้วยตนเอง ประการแรกคือ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ทำเช่นนี้นาน 10-14 วัน เมื่อดื่มน้ำมากก็จะปัสสาวะมาก เป็นการล้างเอาแบคทีเรียออกมา ลดอัตราเสี่ยงของการติดเชื้อ ส่วนใหญ่อาการอักเสบก็จะหายไปได้เอง สมัยก่อนองค์การอนามัยโลกแนะนำให้รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังด้วย การดื่มน้ำมาก ๆ แบบนี้แหละ
สำหรับสมุนไพรไทยที่สามารถนำมารักษา อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังได้แก่ สมุนไพรขับปัสสาวะ ซึ่งใช้หลักการเอาน้ำไปล้างกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะอย่างเดียวกับที่ องค์การอนามัยโลกเคยแนะนำ สมุนไพรไทยรอบตัวที่ใช้ได้ ได้แก่ หญ้าหนวดแมว ตะไคร้ กระเจี๊ยบแดง เหง้าสับปะรด ต้นและรากเตยหอม รากหญ้าคา ต้นขึ้นฉ่าย เป็นต้น ทั้งหมดนี้ให้เอามา 1 กำมือจะเลือกอย่างใด อย่างหนึ่งก็ได้ใส่น้ำต้มให้เดือด แล้วต้มเคี่ยวให้ตัวยาออกมานาน 10 นาที แล้วดื่มต่างน้ำ ยกเว้นต้นขึ้นฉ่าย ให้เอาต้นสดมา 1กำมือ แล้วคั้นน้ำดื่ม
การ ดื่มน้ำต้มสมุนไพร ได้ประโยชน์สองทางคือได้ดื่มน้ำมากขึ้นใช้น้ำไปขับปัสสาวะ อีกทั้งยังได้ตัวยาไปขับปัสสาวะ ล้างระบบทางเดินปัสสาวะทั้งหมดด้วย
สำหรับ หญ้าหนวดแมวมีรายงานว่าใช้ได้ดีขนาดสามารถขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ผล วิธีการคือใช้ใบแห้งหนัก 4 กรัมชงกับน้ำเดือด 750 ซีซี ดื่มต่างน้ำตลอดทั้งวันจนกว่านิ่วจะหลุดออกมา
แต่หญ้าหนวดแมวมีจุดอ่อนคือ มีเกลือโปตัสเซียมสูงมาก ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายและผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ควรใช้สมุนไพรตัวนี้เอง
อย่าง ไรก็ตามกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นคนละเรื่องกันกับโรคไต ใครก็ตามที่มีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบไม่จำเป็นจะต้องเป็นโรคไตร่วมด้วย แต่ถ้ามีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบซ้ำซาก การติดเชื้อลามขึ้นไปถึงไต โอกาสที่ไตจะเสียหายก็มี ทางที่ดี หากใครอยากจะดื่มชาหญ้าหนวดแมวเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
สำหรับ ยาจีนก็มีอาหารซึ่งใช้เป็นยาขับปัสสาวะที่หมอจีนแนะนำให้กับคนที่ปัสสาวะไม่ สะดวก ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้แก่ หัวผักกาด ผักปลัง หนวดข้าวโพด ฟักเขียว แตงโม แตงกวา เป็นต้น
| | ||
|
Link https://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2012/03/L11797012/L11797012.html
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผักผลไม้แก้โรคปัสสาวะอักเสบ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
พญ.ลลิตา ธีระสิริ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดขึ้นกับผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชาย ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้นกว่า
อาการ ของกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือปัสสาวะบ่อย ออกน้อย ปัสสาวะไปแล้วแต่ก็ยังปวดปัสสาวะอีก เวลาปัสสาวะจะแสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนปัสสาวะจะสุด จะปวดมาก หากอาการอักเสบเป็นมากจะมีปัสสาวะออกมาเป็นสีน้ำล้างเนื้อ ซึ่งแสดงว่ามีเลือดปนออกมา หรือถ้าเป็นมาก ๆ ก็จะปัสสาวะออกมาเป็นเลือดสด ๆ เลย
ที่จริงอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบรักษาให้หายขาดได้ โดยการใช้ยาปฏิชีวนะแต่ต้องกินติดต่อกันนานประมาณ 7 วันเป็นอย่างต่ำ
ถ้า ใครกินยาไม่ครบ เชื้อแบคทีเรียมักจะดื้อยา และกลับเป็นขึ้นมาใหม่ กลายเป็นโรคเรื้อรัง แต่บางครั้งบางคนเป็นโรคนี้เรื้อรังเพราะนิสัยส่วนตัว กล่าวคือ
สาเหตุใหญ่ของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือ การกลั้นปัสสาวะ ความเป็นจริงมีอยู่ว่า ในน้ำปัสสาวะบางครั้งมักจะมีแบคทีเรียอยู่ปะปนด้วย แต่ปริมาณไม่มากพอที่จะทำให้เกิดอาการอักเสบ หากปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะถูกระบายออกไปเรื่อย ๆ ก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น
ใน ทางตรงข้าม หากกลั้นปัสสาวะเอาไว้ แบคทีเรียที่อยู่ในน้ำปัสสาวะก็จะมีเวลาแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นมา ยิ่งกลั้นปัสสาวะนานแบคทีเรียก็ยิ่งมาก โอกาสติดเชื้อก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นใครที่ชอบกลั้นปัสสาวะจึงมักจะมีอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
บาง ครั้งแม้ว่ารักษาไปแล้ว แต่นิสัยการกลั้นปัสสาวะยังไม่ได้แก้ เดี๋ยวก็จะติดเชื้อกลับขึ้นมาอีก ทำให้เกิดอาการปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง เดี๋ยวเป็น เดี๋ยวเป็น ไม่หายสักที
วิธีรักษาอาการนี้ทำได้ด้วย ตนเอง ประการแรกคือ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ทำเช่นนี้นาน 10-14 วัน เมื่อดื่มน้ำมากก็จะปัสสาวะมาก เป็นการล้างเอาแบคทีเรียออกมา ลดอัตราเสี่ยงของการติดเชื้อ ส่วนใหญ่อาการอักเสบก็จะหายไปได้เอง สมัยก่อนองค์การอนามัยโลกแนะนำให้รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังด้วย การดื่มน้ำมาก ๆ แบบนี้แหละ
สำหรับสมุนไพรไทยที่สามารถนำมา รักษาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังได้แก่ สมุนไพรขับปัสสาวะ ซึ่งใช้หลักการเอาน้ำไปล้างกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะอย่างเดียวกับที่ องค์การอนามัยโลกเคยแนะนำ สมุนไพรไทยรอบตัวที่ใช้ได้ ได้แก่ หญ้าหนวดแมว ตะไคร้ กระเจี๊ยบแดง เหง้าสับปะรด ต้นและรากเตยหอม รากหญ้าคา ต้นขึ้นฉ่าย เป็นต้น ทั้งหมดนี้ให้เอามา 1 กำมือจะเลือกอย่างใด อย่างหนึ่งก็ได้ใส่น้ำต้มให้เดือด แล้วต้มเคี่ยวให้ตัวยาออกมานาน 10 นาที แล้วดื่มต่างน้ำ ยกเว้นต้นขึ้นฉ่าย ให้เอาต้นสดมา 1กำมือ แล้วคั้นน้ำดื่ม
การ ดื่มน้ำต้มสมุนไพร ได้ประโยชน์สองทางคือได้ดื่มน้ำมากขึ้นใช้น้ำไปขับปัสสาวะ อีกทั้งยังได้ตัวยาไปขับปัสสาวะ ล้างระบบทางเดินปัสสาวะทั้งหมดด้วย
สำหรับ หญ้าหนวดแมวมีรายงานว่าใช้ได้ดีขนาดสามารถขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ผล วิธีการคือใช้ใบแห้งหนัก 4 กรัมชงกับน้ำเดือด 750 ซีซี ดื่มต่างน้ำตลอดทั้งวันจนกว่านิ่วจะหลุดออกมา
แต่หญ้าหนวดแมวมีจุดอ่อนคือ มีเกลือโปตัสเซียมสูงมาก ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายและผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ควรใช้สมุนไพรตัวนี้เอง
อย่าง ไรก็ตามกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นคนละเรื่องกันกับโรคไต ใครก็ตามที่มีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบไม่จำเป็นจะต้องเป็นโรคไตร่วมด้วย แต่ถ้ามีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบซ้ำซาก การติดเชื้อลามขึ้นไปถึงไต โอกาสที่ไตจะเสียหายก็มี ทางที่ดี หากใครอยากจะดื่มชาหญ้าหนวดแมวเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
สำหรับ ยาจีนก็มีอาหารซึ่งใช้เป็นยาขับปัสสาวะที่หมอจีนแนะนำให้กับคนที่ปัสสาวะไม่ สะดวก ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้แก่ หัวผักกาด ผักปลัง หนวดข้าวโพด ฟักเขียว แตงโม แตงกวา เป็นต้น
Link https://nu20003.9.forumer.com/a/_post1082.html
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยาสมุนไพรแก้โรคปัสสาวะกลั้นไม่อยู่
กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ( Overactive Bladder)
หลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่สูงอาย ุและเป็นผู้หญิงมีอาการปวดปัสสาวะมากจนกระทั่งกลั้นปัสสาวะแทบจะไม่อยู่ จนไปห้องน้ำไม่ทัน บางท่านมีอาการปัสสาวะราดก็มี เมื่อไปตรวจกับแพทย์ แพทย์บอกตรวจไม่พบความผิดปกติและให้ยาแก้อักเสบ สักพักอาการก็กลับเป็นใหม่ เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นมาเป็นเดือน อาการเหล่านี้เรียก กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ( Overactive Bladder)
คำนิยามของโรค
กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ( Overactive Bladder) เป็นกลุ่มอาการที่ประกอบไปด้วยอาการอยากปวดปัสสาวะ อาจจะมีกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ด้วยก็ได้ มีอาการปัสสาวะบ่อย(มากกว่าวันละ 8 ครั้ง/วัน) ปัสสาวะกลางคืน(มากกว่า 2 ครั้ง/คืน) โดยที่ตรวจไม่พบสาเหตุสรุปอาการที่สำคัญคือ
- ปัสสาวะบ่อย
- ปวดมากจนต้องรีบไปปัสสาวะ
- ปัสสาวะเร็ด
โรคหรือภาวะที่ทำให้เกิดอาการเหมือนกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ ตามตารางที่นี่
ภาวะ | กลไก | การแก้ไข |
ทางเดินปัสสาวะ | ||
| การอักเสบทำให้กระตุ้นปลายประสาทเกิดอาการ อยากปัสสาวะ | ให้รักษาการติดเชื้อก่อน |
| การอุดกลั้นทำให้กล้ามเนื้อไวต่อการบีบตัว | การผ่าตัด |
กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวอ่อนแรง | การที่มีปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะมีความจุลดลง |
|
มีความผิดปกติในกระเพาะปัสสาวะ (เช่นเนื้องอก นิ่ว) | ความผิดปกติทำให้กระเพาะปัสสาวะ ไวต่อการกระตุ้น | ตรวจหาสาเ้หตุและรักษา |
ผู้หญิง | ||
| มีการอักเสบของช่องคลอดและท่อปัสสาวะ | ใช่ยา estrogen ทาช่องคลอด |
|
|
|
ผู้ชาย | ||
| ต่อมลูกหมากโต กระตุ้นให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัว |
|
โรคระบบประสาท | รายละเอียดอ่านที่นี่ |
กลไกการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ( Overactive Bladder)
กระเพาะปัสสาวะของคนเรามีหน้าที่เก็บปัสสาวะ โดยการควบคุมของระบบประสาทส่วนกลางซึ่งได้แก่ สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท และประสาทอัตโนมัติ โรคที่เกิดกับอวัยวะเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปก ต
โดยปกติเมื่อมีปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะประมาณ 1/3 ของความจุจะเริ่มรู้สึกว่ามีน้ำในกระเพาะปัสสาวะ เพียงรู้สึกหน่วงๆระยะนี้จะไม่มีการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะเลย ความรู้สึกปวดจะเริ่มเมื่อมีปัสสาวะเต็มกระเพาะปัสสาวะซึ่งโดยประมาณ 300-400 ซม มล. หากมีการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะตั้งแต่ปัสสวะเริ่มสะสมถือว่าผิดปกติ
การบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ เริ่มเมื่อมีสัญญาณส่งความรู้สึกจากกระเพาะปัสสาวะเป็นความรู้สึกตึงตัว ของกระเพาะปัสสาวะผ่านไขสันหลังจนถึงสมอง เมื่อสมองแปลความหมายและเห็นสมควรว่าถ่ายปัสสาวะได้ จึงส่งกระแสประสาทลงมาไขสันหลัง ไปยังกระเพาะปัสสาวะให้บีบตัว ในขณะเดียวกันหากต้องการปัสสาวะโดยที่กระเพาะปัสสาวะไม่เต็มก็สามารถทำได้ โดยการสั่งจากสมองโดยตรง นอกจากนั้นกรณีที่กระเพาะปัสสาวะระคายเคืองจากการอักเสบ ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดรู้สึกปวดปัสสาวะ
การบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาท อัตโนมัติ Parasympathetic ซึ่งมีสารนำประสาท neurotransmitter ที่สำคัญคือ Acetylcholine ในขณะเดียวกันที่ระบบประสาทอัตโนมัติ Sympathetic ก็ทำหน้าที่ของมันคือเก็บกักปัสสาวะโดยทำให้กระเพาะปัสสาวะคลายตัว รายละเอียดอ่านที่นี่
สาเหตุของกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ
การตรวจวินิจฉัย
ในการตรวจวินิจฉัยโรคแพทย์จะซักประวัติ การตรวจร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยและนำไปสู่การรักษาได้ จุดประสงค์หลักของการวินิจฉัยคือการคัดกรองเอาโรคอื่นๆที่อาจจะมีอาการคล้าย คลึงกันออก เช่น นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในท่อไต กระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือแม้กระทั่งมะเร็งกระเพาะปัสสาวะก็อาจจะทำให้มี อาการคล้ายกัน โรคที่ทำให้เกิดอาการคล้ายๆกันอ่านที่นี่
การตรวจร่างกาย เริ่มจากการตรวจร่างกายทั่วไปและการตรวจระบบประสาทเพื่อค้นหาความผิดปกติที่อาจจะเป็นสาเหตุหรือเกิดร่วมด้วย
การรักษา
การรักษา OAB
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
- การรักษาเชิงพฤติกรรม (Behavioral therapy) เช่น การกำหนดเวลาถ่ายปัสสาวะ ปรับปริมาณและเวลาในการดื่มน้ำ การให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ การดื่มน้ำต้องให้มีปริมาณมากพอ และต้องเลือกเวลาที่ดื่มด้วย
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวเช่น กาแฟ สุรา
- การบริหารกล้ามเนื้อุ้งเชิงกรานอ่านที่นี่ การบริหารแบ่งเป็นสองแบบคือแบบที่หนึ่งให้ขมิบสั้นถี่ อีกแบบหนึ่งคือขมิบแต่ละครั้งให้นับ 1-20 ระหว่างที่ขมิบอย่ากลั้นหายใจ ทำวันละ 30-80 ครั้งเป็นเวลา 8 สัปดาห์ทำแบบนี้บ่อยๆจะทำให้ลดอาการของปัสสาวะบ่อย
- Vaginal weight training โดยการใส่วัสดุเข้าในช่องคลอดและขมิบ ทำวันละ15 นาที วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 4-6 สัปดาห์
การใช้ยา
- anticholinergic drugs ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ ท้องผูก ภาวะกรดไหลย้อน ตามัว ปัสสาวะคั่ง ยาที่ใช้บ่อยในกลุ่มนี้ได้แก่
- oxybutynin มีทั้งที่ออกฤทธิ์ปานกลางและระยะยาวขนาดที่ให้ 5 mg วันละ 3 ครั้งซึ่งสามารถลดอาการปวดปัสสาวะและปัสสาวะเร็ด สำหรับยาที่ออกฤทธิ์ยาวคือรับประทานยาวันละครั้งจะให้ผลการรักษาดีเหมือนกัน
- propiverine
- tolterodine มีทั้งออกฤทธิ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ใช้ได้ผลดีทั้งอายุมากและอายุน้อย
- and trospium
- Estrogen สำหรับผู้หญิงวัยทองจะใช้ทั้งยาทาหรือยารับประทานก็ได้ผล
- การรักษาด้วยยา
- การรักษาโดยปรับสมดุล
- การฉีด botulinum toxin
- การผ่าตัดขยายกระเพาะปัสสาวะ(Augmentation cystoplasty)
เอกสารอ้างอิง
- New England Journal of Medicine Volume 350:786-799 February 19, 2004 Number 8 Joseph G. Ouslander, M.D.
- Link https://www.siamhealth.net/public_html/Disease/renal/incontinence/oab.html