โรคปัสสาวะอักเสบ อาการโรคปัสสาวะอักเสบ ยารักษาโรคปัสสาวะอักเสบ
โรคปัสสาวะอักเสบ
โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
หมายถึงเกิดการอักเสบของระบขับปัสสาวะซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ท่อปัสสาวะจนถึงไต สาเหตุส่วใหญ่เกิดจากเชื้อโรคแถวบริเวณท่อปัสสาวะ
โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ Urinary tract infection [UTI]ระบบทางเดินปัสสาวะของคนเราประกอบด้วย ไต(kidney) ท่อไต (ureter) 2 ข้าง กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ (urethra)
ไตทำหน้าที่กรองของเสียออกในรูปปัสสาวะ นำออกท่อไต ไป กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ
ภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นปัญหาที่พบบ่อย ทั้งในผู้ใหญ่ และเด็ก ผู้หญิงจะพบบ่อยกว่าผู้ชาย 8-10 เท่าประมาณว่าคุณผู้หญิง1ใน 5 คนเป็นคนที่เคยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
สาเหตุของทางเดินปัสสาวะอักเสบ
ปัสสาวะปกติจะประกอบด้วยน้ำ และเกลือ ไม่มีเชื้อโรค การติดเชื้อเกิดเมื่อมีเชื้อโรคมาจากทางเดินอาหาร หรือจากอุจาระ มาทางท่อปัสสาวะ ทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบ เรียก Urethritis หากเชื้อลามเข้ากระเพาะปัสสาวะเรียกกระเพาะปัสสาวะอักเสบ Cystittis หากเชื้อลามเข้าท่อไต และกรวยไตทำให้เกิดกรวยไตอักเสบ Pyelonephritis
เชื้อที่เป็นสาเหตุสำคัญคือ E coli เป็นเชื้อที่มาจากอุจาระ นอกจากนั้นยังพบเชื้อ Clamydia และ Mycoplasma ก็สามารถทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เชื้อดังกล่าวเกิดจากเพศสัมพันธ์จะต้องรักษาทั้งคู่
ใครมีโอกาสเกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
- ผู้ที่มีนิ่วทางเดินปัสสาวะ
- ผู้ที่มีต่อมลูกหมากโต
- ผู้ที่คาสายปัสสาวะ
- ผู้ป่วยที่ระบบประสาทควบคุมการปัสสาวะเสียเช่นโรคเบาหวานประสาทไขสันหลังอักเสบ
- ผู้หญิงมีโอกาสเกิดทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่ายกว่าผู้ชายเนื่องจากท่อปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชายและตำแหน่งที่เปิดอยู่ใกล้กับทวารหนัก และช่องคลอดทำให้เชื้อลุกลามมาที่ท่อปัสสาวะได้ง่าย
ผู้ป่วยที่มีทางเดินปัสสาวะอักเสบจะมีอาการอะไรบ้าง
- ผู้ป่วยที่มีท่อปัสสาวะอักเสบ Urethritis จะมีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะจะสุดแล้วจะปวด บางรายมีคราบหนองติดกางเกง
- ผู้ป่วยที่มีกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะมีอาการ ปวดหน่วงๆท้องน้อย ปัสสาวะออกครั้งละน้อยๆ ปวดมากเมื่อปัสสาวะจะสุด บางรายมีเลือดออก
- ผู้ป่วยที่มีกรวยไตอักเสบ pyelonephritis จะมีอาการเหมือนกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แต่จะมีไข้ ปวดเอว ปัสสาวะขุ่น
การวินิจฉัย
หากท่านอาการเหมือนทางเดินปัสสาวะอักเสบ แพทย์จะสั่งให้เก็บปัสสาวะไปตรวจโดยก่อนการเก็บปัสสาวะต้องทำความสะอาดบริเวณนั้น แล้วจึงเก็บปัสสาวะช่วงกลางๆของปัสสาวะ บางรายอาจจะต้องเก็บปัสสาวะโดยการสวนสาย เพื่อให้ได้ปัสสาวะที่สะอาด และนำไปเพาะเชื้อเพื่อหาสาเหตุ
แพทย์จะนำปัสสาวะไปตรวจหาเม็ดเลือด ขาว และเม็ดเลือดแดง และเพาะเชื้อ
ถ้าท่านติดเชื้อทางเดินปั สสาวะบ่อยหรือหลังการรักษาแล้วไม่หาย แพทย์จะตรวจไตโดย การฉีดสีเข้าเส้นเลือดและให้สีขับออกทางไต [intravenous pyelography IVP] หรือนัดตรวจ ultrasound ที่ไตซึ่งจะได้ภาพของไต บางรายแพทย์จะส่งตรวจ cystoscope คือการใช้กล้องส่องเข้าในกระเพาะปัสสาวะ
การรักษา
- ผู้ป่วยที่เป็นมาไม่นาน ไม่มีไข้ ไม่ปวดเอว ไม่มีโรคประจำตัว อาจเลือกใช้ยาดังต่อไปนี้ trimethoprim/ sulfamethoxazole,amoxicillin,ampicillin,ofloxacin,norfloxacin,ciprofloxacin โดยทั่วไปอาจจะรักษา 1-2 วันก็ทำให้หายได้ แต่แพทย์มักจะแนะนำให้รับประทานยา 7 วันเพื่อให้แน่นใจว่าหายขาด การรักษาด้วยยาโดยให้ยา 1-2 วันไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่เป็นมานาน เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต่อมลูกหมากโต
- ผู้ป่วยที่เป็นมาก มีไข้สูง ปวดเอวควรรับไว้ในโรงพยาบาล และให้ยาเข้าทางเส้น
- ผู้ป่วยผู้หญิงที่เป็นทางเดินปัสสาวะอักเสบซ้ำ Recurrent Infections in Women หมายถึงเป็นทางเดินปัสสาวะอักเสบมากกว่า 3 ครั้งใน 1 ปี ประมาณว่า 4 ใน 5 คนจะเป็นทางเดินปัสสาวะอักเสบอีกใน 18 เดือนดังนั้นจึงต้องป้องกันโดย
- รับประทานยา trimethoprim/sulfamethoxazole เป็นเวลา 6 เดือน
- รับประทานยาปฏิชีวนะหลังมีเพศสัมพันธ์
- ให้ยาปฏิชีวนะ 1-2 วันเมื่อเกิดอาการ
วิธีป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะอักเสบซ้ำ
- ดื่มน้ำให้มากเข้าไว้
- ห้ามอั้นปัสสาวะ
- ให้เช็ดก้นจากหน้าไปหลัง
- ให้ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศก่อนที่จะมีกิจกรรมทางเพศ
- งดใช้ spray และการสวนล้างช่องคลอด
- ควรอาบน้ำจากฝากบัว
- การคลิบอวัยวะเพศจะช่วยลดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะไม่สามารถติดต่อจากผู้หนึ่งไปยังอีกผู้หนึ่ง
4. การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ชาย มักจะพบร่วมกับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือต่อมลูกหมากโต หรือจากคาสายสวนปัสสาวะ
Link https://www.siamhealth.net/public_html/Disease/renal/uti/UTI.htm
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อาการโรคปัสสาวะอักเสบ
ปัสสาวะขัด urinary frequency or dysuria
เชื่อว่าหลายท่านโดยเฉพาะคุณผู้หญิงคงเคยมี อาการปัสสาวะขัด หรือบางคนอาจจะเรียกว่าปวดปัสสาวะกันมาแล้วเนื่องจากผู้หญิงวัยเจริญพันธ์ ส่วนผู้ชายพบไม่บ่อย การที่มีอาการเกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุอยู่รอบๆท่อปัสสาวะเมื่อมีการได้รับบาดเจ็บของท่อ ปัสสาวะเช่น การขี่ม้า การขี่จักรยาน การมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรง การคุมกำเนิดโดยใช้ diaphragm หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างมีประจำเดือน ก็เป็นสาเหตุของปัสสาวะขัด ผู้ที่มีทางเดินปัสสาวะอักเสบจะมีประวัติและความเจ็บป่วยดังนี้อาการ
-
ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะออกครั้งละไม่มาก
-
ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น
-
ปวดหน่วงบริเวณบริเวณหัวเหน่า
-
ปวดแสบเมื่อปัสสาวะจะสุด
-
ปัสสาวะกลางคืนบ่อย
-
ปัสสาวะมีเลือดปน
-
ถ้าเป็นกรวยไตอักเสบจะมีไข้ หนาวสั่น ปวดหลัง คลื่นไส้อาเจียน
-
สำหรับผู้ชายสูงอายุอาจจะมีอาการปัสสาวะไม่พุง ปัสสาวะลำบากเป็นมาก่อน
-
ผู้ป่วยบางรายอาจจะเคยคาสายสวนปัสสาวะหรือส่องกล้องดูกระเพาะปัสสาวะ
หากท่านมีอาการดังกล่าวท่านต้องสังเกตอาการและเตรียมตอบคำถามของแพทย์
-
ระยะเวลาที่ปวด
-
ปวดทุกครั้งหรือไม่ที่ปัสสาวะ
-
ปวดปัสสาวะกี่วันมาแล้ว
-
อาการปวดเกิดทันทีหรือไม่
-
ลักษณะอาการปวด
-
อาการปวดจะเกิดเริ่มเมื่อปัสสาวะ
-
อาการปวดจะหายไปเมื่อปัสสาวะเสร็จ
-
ลักษณะอาการปวด แสบๆ ปวดบิดๆ
-
ตำแหน่งที่ปวด
-
ปวดที่หลัง
-
ปวดที่หัวเหน่า
-
ปวดที่ท่อปัสสาวะ
-
ปัจจัยที่กระตุ้นให้ปวดมากขึ้น เช่น
-
ปวดมากขณะยืน นั่ง หรือนอน
-
ปวดเวลากลางวัน กลางคืน
-
อุจาระแล้ปวดหรือไม่
-
อาการอื่นที่สำคัญ
-
ไข้ หนาวสั่น
-
หนองติดกางเกงในหรือไม่
-
สีและกลิ่นของปัสสาวะ
-
ปริมาณของปัสสาวะ
-
มีเลือดร่วมด้วยหรือไม่
หากท่านมีอาการดังกล่าวควรรีบรักษาด้วยตัวเองทันทีสามารถทำได้โดย
-
หากมีอาการปวดปัสสาวะให้รีบไปปัสสาวะทันที
-
รีบรับประทานยารักษาทันที
-
ให้ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบบริเวณหัวเหน่าหรือเปิดน้ำอุ่นประคบ 20 นาทีทุก 2 ชั่วโมงใน สองวันแรกระวังอย่าให้น้ำร้อนจนผิวหนังได้รับอันตราย
-
ให้ดื่มน้ำมากๆ
สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่
- ++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยารักษาโรคปัสสาวะอักเสบ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
คำจำกัดความ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหลายเท่า เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้น และอยู่ใกล้ทวารหนักซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมาก ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและบ่อยกว่าผู้ชาย
อาการ
ผู้ป่วยที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มักจะมีอาการดังต่อไปนี้
- ขณะปัสสาวะจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือปัสสาวะขัด (Dysuria)
- ปัสสาวะมีสีขุ่น และมีกลิ่น
- รู้สึกกลั้นปัสสาวะไม่ได้ เวลาปวดปัสสาวะต้องรีบไปเข้าห้องน้ำทันที
- ปัสสาวะบ่อย แต่ละปัสสาวะออกมาปริมาณไม่มาก และรู้สึกปัสสาวะไม่สุด (คือ ทันทีที่ปัสสาวะเสร็จก็ยังรู้สึกปวดปัสสาวะอีก)
- อาจมีเลือดออกปนมาในปัสสาวะ (hematuria)
- รู้สึกปวดหน่วงท้องน้อยหรือรู้สึกไม่สบายบริเวณอุ้งเชิงกราน
- มีไข้ต่ำๆ
แต่ผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อทุกราย เช่นอาจเกิดจากภาวะเครียดหรือเกิดจากยาเป็นต้น
สาเหตุ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดได้จาก
1. เกิดจากการติดเชื้อ : เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการมีแบคทีเรียจากภายนอกร่างกายเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะและมีการเจริญ เติบโตในกระเพาะปัสสาวะ จนเกิดเป็นการติดเชื้อและทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบตามมา ดังนั้นคนที่ชอบกลั้นปัสสาวะจะทำให้มีเชื้อแบคทีเรียจำนวนมากคั่งค้างอยู่ใน กระเพาะปัสสาวะ จึงทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่าย
โดยทั่วไป เชื้อที่ทำให้เกิดโรคนี้ในผู้หญิงทั่วไป คือ เชื้อ Escherichia coli (E. coli) แต่ในผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์มักเกิดจากเชื้อ Staphylococcus saprophyticus
แบ่งสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อ ออกเป็น 2 ประเภท คือ
- การติดเชื้อจากชุมชน : มักเกิดในผู้หญิงอายุ 20-50ปี และผู้ชายที่มีอายุเกิน 55 ปี (เนื่องจากมักมีภาวะต่อมลูกหมากโต ซึ่งจะไปอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดปัสสาวะคั่งค้างในกระเพาะปัสสาวะตามมา) กลุ่มนี้มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่รุนแรงและไม่ค่อยดื้อยา ทำให้รักษาได้ง่ายและได้ผลการรักษาดี
- การติดเชื้อจากในโรงพยาบาล : มักจะเกิดจากการใส่สายสวนปัสสาวะ (urinary catheter) เพื่อทำการระบายปัสสาวะเป็นเวลานาน ในกลุ่มนี้มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงและมักดื้อยาหลายตัว ทำให้รักษายากกว่ากลุ่มที่ติดเชื้อมาจากชุมชนและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนตาม มาได้มากกว่า
2. Interstitial cystitis : เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของกระเพาะปัสสาวะโดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
3. กระเพาะปัสสาวะอักเสบที่เกิดจากยา โดยเฉพาะยารักษามะเร็งกลุ่ม cyclophosphamide และ ifosfamide
4. เกิดจากการได้รับรังสีบริเวณกระเพาะปัสสาวะ โดยรังสีจะไปทำให้เนื้อเยื่อที่กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
5. เกิดจากการใช้สายสวนปัสสาวะ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อกระเพาะปัสสาวะและทำให้เนื้อเยื่อที่กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
6. อาจเกิดจากสารเคมี เช่น ฟองสบู่ หรือ น้ำยาฆ่าเชื้ออสุจิ (spermicidal jellies) ที่ใช้ในผู้หญิง
7. เกิดจากโรคอื่นๆ เช่น มะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง (gynecologic cancers) โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก, ติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (pelvic inflammatory disorders), พังผืดในอุ้งเชิงกราน (endometriosis), ลำไส้ใหญ่อักเสบ (diverticulitis)
การวินิจฉัย
ประวัติ : ผู้ป่วยจะมีอาการดังที่กล่าวมาแล้ว
การตรวจร่างกาย :
- มักไม่ค่อยมีไข้
- ตรวจบริเวณหน้าท้อง : พบว่าผู้ป่วยมีอาการกดเจ็บที่บริเวณท้องน้อยด้านล่างตรงกลาง
- ไม่มีอาการเจ็บเวลาเคาะบริเวณหลังทั้งสองข้าง (ถ้าเจ็บจะทำให้สงสัยไตอักเสบจากการติดเชื้อ)
การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฎิบัติการ :
1. การตรวจปัสสาวะ (Urine analysis) : เป็นการตรวจที่ทำได้ง่าย, เร็วและราคาไม่แพง ดังนั้นจึงเป็นการตรวจที่ใช้บ่อยในเวชปฎิบัติทั่วไป ผลการตรวจจะพบว่ามีเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงรั่วออกมาในปัสสาวะ (เกิดจากเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะอักเสบ) และพบมีแบคทีเรียอยู่ในปัสสาวะ ดังนั้นการตรวจนี้บอกได้แค่ว่ามีภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบแต่ไม่จำเป็นว่า ต้องเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเสมอไป
2. การนำปัสสาวะไปย้อมสีหาเชื้อแบคทีเรีย (Gram strain) และเพาะเชื้อ (urine culture) : ทำเฉพาะในรายที่ผลการตรวจปัสสาวะเบื้องต้นพบลักษณะของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เพื่อหาชนิดของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
3. การตรวจทางรังสีเพิ่มเติม : เช่น การเอกซเรย์ทางเดินปัสสาวะ (Film KUB), การฉีดสีและเอกซเรย์เพื่อดูทางเดินปัสสาวะ (IVP) หรืออัลตราซาวน์ทางเดินปัสสาวะ การตรวจเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องทำในผู้ป่วยทุกรายที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะ อักเสบ แต่จะทำในรายที่สงสัยว่าผู้ป่วยจะมีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบซ้ำบ่อยๆ หรือเกิดการติดเชื้อที่พบได้ไม่บ่อย
4. การส่องดูกระเพาะปัสสาวะ (cystoscopy) : ทำเฉพาะรายที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ
ภาวะแทรกซ้อน
ปกติโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นโรคที่รักษาได้ไม่ยาก แต่ถ้าละเลยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนคือ การติดเชื้อของไต (acute pyelonephritis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียลามจากกระเพาะปัสสาวะขึ้นไปติดเชื้อที่ไต (ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง, ปวดเมื่อยที่หลัง, คลื่นไส้อาเจียน)
การรักษาและยา
การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ขึ้นอยู่กับสาเหตุ คือ
- การรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย : รักษาโดยการให้กินยาปฏิชีวนะเป็นเวลา 3-7วัน ขึ้นกับความรุนแรงของการติดเชื้อและลักษณะภูมิต้านทานของผู้ป่วย ยาปฎิชีวนะที่ใช้บ่อยคือยากลุ่ม quinolone เช่น norfloxacin, ofloxacin และ ciprofloxacin แต่ในผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์จะไม่ใช้ยากลุ่มนี้เพราะมีผลต่อทารกในครรภ์ ได้ จะเปลี่ยนไปใช้ยาในกลุ่ม cephalosporin แทน เช่น cefdinir และ cefixime
- การรักษา Interstitial cystitis : เนื่องจากเกิดได้จากหลายสาเหตุ การรักษาจึงขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค
- การรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบที่เกิดจากสารเคมี : ให้หลีกเลี่ยงการใช้สารแคมีที่ทำให้เกิดโรค
- การรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบที่เกิดตามหลังการได้รับยาเคมีบำบัด : ป้องกันได้โดยการให้สารน้ำทางหลอดเลือดก่อนเริ่มให้ยาเคมีบำบัดตัวที่ทำให้ เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
ยาที่เกี่ยวข้อง
ยาที่ใช้บ่อย Cefdinir, Cefixime, Ciprofloxacin, Norfloxacin, Ofloxacin,
แหล่งอ้างอิง
1. วิทยา ศรีดามา, บรรณาธิการ. Evidence-based clinical practice guideline ทางอายุรศาสตร์ 2548. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิมพ์ครั้งที่ 4. 2548, 284-288.
2. ชาญวิทย์ ตันติ์พิพัฒน์ และ ธนิต วัชรพุกก์. ตำราศัลยศาสตร์. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิมพ์ครั้งที่ 7. 2546, 409-412.
3. พรรณทิพย์ ฉายากุล, ชิษณุ พันธุ์เจริญ และคณะ, บรรณาธิการ. ตำราโรคติดเชื้อ. สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ : บริษัทโฮลิสติก พับลิชชิ่ง จำกัด. 2548, 335-340.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++