โรคเกี่ยวกับอวัยเพศชาย โรคเกี่ยวกับทางเพศ โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย
โรคอักเสบที่ปลายอวัยวะเพศชาย
โรคนี้คือ ภาวะที่มีการอักเสบของส่วนปลายของอวัยวะเพศชาย (ส่วนหัว) โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ ช่วงอายุของผู้ชาย โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการติดเชื้อราแคนดิด้า เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการมีสิ่งระคายเคืองบริเวณส่วนปลายของอวัยวะเพศดังกล่าว หรือเกิดจากโรคผิวหนังบางอย่างเป็นสาเหตุเป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็สามารถรักษาให้หายได้
โรคนี้เป็นภาวะที่มีการอักเสบที่ส่วนหัว หรือส่วนปลายของอวัยวะเพศชาย และโดยมากหนังหุ้มปลายที่บริเวณใกล้เคียงบริเวณที่อักเสบดังกล่าวก็มักจะ อักเสบด้วย
โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก และพบได้ในทุกช่วงอายุของผู้ชาย แต่จะพบบ่อยมากในเด็กชายที่อายุต่ำกว่า 4 ปี และผู้ใหญ่ชายที่ไม่ได้รับการขลิบหนังหุ้มปลายของอวัยวะเพศ โรคนี้พบได้น้อยมากในผู้ชายที่ได้รับการทำการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศแล้ว
โรคนี้มีอาการอย่างไร
อาการที่พบบ่อยของโรคนี้ก็คือ อาการแดง ระคายเคือง และปวดที่บริเวณหัวของอวัยวะเพศชาย บางรายก็มีอาการแค่จุดเล็กๆ บางรายก็มีอาการมากคือเป็นทั้งหัวของอวัยวะเพศเลยก็มี และมีอาการแดง บวม และเจ็บปวดมากก็ได้ บางครั้งอาจจะมีหนองหรือน้ำเหลืองข้นๆ ออก มาจากบริเวณที่มีการอักเสบด้วย คนไข้อาจจะไม่สามารถถลกหนังหุ้มปลาย ของอวัยวะเพศลงกลับคืนได้ เพราะเจ็บ และบางครั้งอาจจะมีภาวะเจ็บปวดเวลาปัสสาวะได้ด้วย
อะไรเป็นสาเหตุของโรคนี้
โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- การมีสุขอนามัยที่ไม่ดี
- การมีสุขอนามัยที่ไม่ดีร่วมกับ การมีหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศที่ไม่เปิดหรือแน่นเกินไป ตามปกติบริเวณหัวของอวัยวะเพศ บริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศจะมีการสร้างสารสีขาวๆ เหมือนเนยเป็นก้อนๆ ขึ้นมาเราเรียกสิ่งนี้ว่า ขี้เปียก หรือ Smecma Smecma นี้ตามปกติในคนที่หนังหุ้มปลายเปิดและมีการล้างทำความสะอาดหัวอวัยวะเพศอยู่ เป็นประจำเราจะไม่พบเหลือให้เห็น แต่ในคนที่ยังมีมันเหลืออยู่และมีสุขอนามัยไม่ดี ก็จะเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ แต่มักจะเป็นการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อที่ไม่ใช่เชื้อโรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์ เชื้อโรคบางชนิดจะมี และอยู่อาศัยอยู่ที่บริเวณปลายอวัยวะเพศอยู่ตามปกติ แต่ในปริมาณน้อยๆ เช่นเชื้อราแคนดิด้า แต่ถ้ามีภาวะหมักหมมสกปรกจะทำให้เชื้อเพิ่มปริมาณขึ้นมาก และเกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้
- เชื้อแบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อให้เกิดการอักเสบที่หัวของอวัยวะเพศชาย ได้ และผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อพวกนี้ได้ แต่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ถ้ามีภาวะที่มีการอักเสบที่เกิดจากการแพ้ หรือระคายเคืองอยู่ก่อนแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานและ มีการควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ดี ทำให้มีน้ำตาลในปัสสาวะสูง น้ำตาลในปัสสาวะที่เลอะเทอะที่ปลายอวัยะเพศ จะเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อแบคทีเรียทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิดสามารถ ก่อให้เกิดโรคอักเสบที่หัวของอวัยวะเพศชายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดท่อปัสสาวะอักเสบ เช่น โรคเริมจากเชื้อ Herpes, การติดเชื้อ Clamydia, การติดเชื้อ Gonorrhoea อาการของท่อปัสสาวะอักเสบก็คืออาการแสบท่อปัสสาวะขณะที่ปัสสาวะ หรือมีหนองออกมาจากท่อปัสสาวะ
- ภาวะภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง ผิวหนังบริเวณหัวของอวัยวะเพศนั้นค่อนข้างบอบบาง และง่ายแก่การกระตุ้นให้แพ้ เมื่อโดนกับสารเคมีหรือสารบางอย่าง จะเกิดภาวะการอักเสบขึ้นได้ เช่น ถ้าเราไม่ถลกหนังหุ้มปลายขึ้นเพื่อล้างส่วนที่อยู่ใต้ต่อหนังหุ้มปลาย ของอวัยวะเพศ เซลล์ผิวหนังเก่าๆ ที่หลุดลอก น้ำปัสสาวะที่เลอะเทอะ และเศษเนื้อเยื่อต่างๆ ที่ตายแล้ว เหงื่อ จะหมักหมมสะสมอยู่บริเวณนั้น และระคายเคืองต่อหัวของอวัยวะเพศ ทำให้เกิดการอักเสบได้
สบู่บางชนิด หรือสารที่ใช้ทำความสะอาดผิวบางอย่าง อาจจะระคายเคืองผิวที่หัวของอวัยวะเพศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการล้างหรือฟอกมากจนเกินไป - ถุงยางอนามัย, สารฆ่าเชื้ออสุจิในถุงยางอนามัย, สารหล่อลื่นในถุงยางอนามัย, หรือสารหล่อลื่นที่ใช้ต่างหากระหว่างร่วมเพศ อาจจะระคายเคืองต่อหัวของอวัยวะเพศได้
- สารเคมีอื่นๆ ที่อาจจะระคายเคืองหัวของอวัยวะเพศได้อีก เช่น น้ำยาฟอกทำความสะอาดมือที่ติดที่มือแล้วเราล้างออกไม่หมด แล้วเราเผลอไปจับอวัยวะเพศในขณะที่เข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ หรือสารเคมีที่ใช้ใส่ผ้าให้นุ่มขณะที่ซักผ้าที่ยังตกค้างอยู่ที่ผ้า เพราะล้างออกไม่หมด แล้วยังติดอยู่ที่กางเกงในเมื่อสัมผัสกับอวัยวะเพศก็จะเกิดการอักเสบและ ระคายเคืองได้
- โรคผิวหนังบางอย่างอาจจะก่อให้เกิดโรคหัวของอวัยวะเพศชายอักเสบได้ หรือ อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่า เป็นโรคที่เกิดที่หัวของอวัยวะเพศชายอักเสบโดยตรง โดยไม่ใช่โรคผิวหนังชนิดนั้นก็ได้เช่น โรคสะเก็ดเงินที่เกิดรอยโรคที่อวัยวะเพศ
เราจะวินิจฉัยโรคหัวของอวัยวะเพศชายอักเสบได้อย่างไร?
การวินิจฉัยโรคนี้มักจะค่อนข้างง่าย เพราะเราจะเห็น รอยแดงและอักเสบที่ปลายของอวัยวะเพศ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบนั้น อาจจะต้องสืบหาต่อด้วยการตรวจแลปส์ หรือการตรวจพิเศษบางอย่างเพิ่มเติมเช่น การป้ายหนองไปตรวจหาเชื้อ หรือการตรวจเลือดของผู้ป่วยหาโรคเบาหวาน การตรวจหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ส่งปรึกษาแพทย์ทางด้านโรคผิวหนัง ถ้าสงสัยโรคผิวหนังที่จำเพาะเจาะจงในบางราย (แต่น้อยมาก) อาจจะจำเป็นต้องตัดชิ้นเนื้อของผิวหนังเพื่อไปตรวจทางพยาธิวิทยา
การรักษาโรคนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ในขณะที่มีการอักเสบ และใช้ Emollient Cream หรือ Ointment ทำความสะอาดแทนสบู่
- ใช้น้ำอุ่นทำความสะอาดเบาๆ แล้วซับให้แห้งอย่างนุ่มนวล
- การรักษาจำเพาะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค เช่น ถ้าการอักเสบเกิดจากการติดเชื้อราแคนดิด้า การรักษาก็คือการใช้ยาฆ่าเชื้อรา ถ้าสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การรักษาจำเพาะก็คือ การใช้ยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดนั้นๆ ถ้าสาเหตุเกิดจากโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ การรักษาก็คือ การใช้ยาที่จำเพาะต่อโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์นั้นๆ
- การใช้สเตอรอยด์ครีมอ่อนๆ ทาบริเวณที่อักเสบ ในกรณีที่สาเหตุของการอักเสบนั้นเกิดจากกลไกของการแพ้ หรือภูมิแพ้ แต่ในบางครั้งเราใช้ครีมที่มีสเตอรอยด์อ่อนๆ ผสมกับยาปฏิชีวนะทาในบริเวณที่อักเสบ เพื่อช่วยในการลดการอักเสบในระยะแรกๆ ของการรักษาได้ ในโรคที่มีการติดเชื้อใดๆ เป็นต้นเหตุ แต่เราจะไม่ใช้สเตอรอยด์เดี่ยวๆ ในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เพราะมันจะทำให้การติดเชื้อนั้นแย่ลง
- ถ้าท่านมีการอักเสบที่ปลายอวัยวะเพศซ้ำบ่อยๆ และท่านมีภาวะหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่เปิด (Phimosis) แนะนำให้ทำการผ่าตัดขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศออก
การป้องกันโรคนี้
- ล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศอย่างสะอาดหมดจด (ถลกหนังหุ้มปลายลงเพื่อล้างด้านในด้วย) อย่างนุ่มนวลทุกครั้งที่อาบน้ำ และทำให้แห้งทุกครั้งก่อนที่จะใส่กางเกง
- ถ้าการอักเสบนั้นสัมพันธ์กับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัย หรือถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ใช้ชนิดที่ทำมาสำหรับผู้ที่มีผิวหนังแพ้ง่าย
- ล้างมือทุกครั้งก่อนจับอวัยวะเพศเพื่อปัสสาวะ ถ้าคุณทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่อาจจะระคายเคืองอวัยวะเพศ
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนใหม่ ที่อาจจะไม่แน่ใจว่าปลอดภัยจากเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
Link https://medicarezine.com
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โรคเกี่ยวกับทางเพศ
ผลริมอ่อน Chancroid
แผลริมอ่อนเป็น โรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi โรคนี้ติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาด โรคนี้จะทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต บางครั้งมีหนองไหลออกมาที่เรียกว่าฝีมะม่วง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย
การติดต่อ
โรคนี้ติดต่อได้สองวิธีคือ
- ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการสัมผัสแผลระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์
- ติดต่อโดยการปนเปื้อนหนองไปติดผิวหนังส่วนอื่น
อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร
- ผู้ที่รับเชื้อนี้จะมีอาการหลังจากรับเชื้อแล้ว 3-10 วัน
- อาการเริ่มต้นจะเป็นตุ่มนูนและมีอาการเจ็บ หลังจากนั้จะมีแผลเล็กๆ ก้นแผลมีหนอง ขอบแผลนูนไม่เรียบ มีอาการเจ็บมาก แผลเล็กๆจะรวมกันเป็นแผลใหญ่
- แผลจะนุ่มไม่แข็ง(โรคซิฟิลิสจะมีขอบแผลแข็ง)
- จะมีอาการเจ็บแผลมากในผู้ชาย แต่ผู้หญิงอาจจะไม่มีอาการเจ็บทำให้เกิดการติดต่อสู่ผู้อื่นได้ง่าย
- ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะโต กดเจ็บ บางคนแตกเป็นหนองที่เรียกว่าฝีมะม่วง
โรคนี้วินิจฉัยได้อย่างไร
การวินิจฉัยทำได้โดยการน้ำหนองที่ก้นแผลไปย้อมเชื้อก็จะพบเชื้อโรค และยังสามารถเพาะเชื้อเพื่อยืยยันการวินิจฉัยโรค
โรคนี้รักษาอย่างไร
ยาที่ใช้รักษาได้แก่
- Azithromycin 1 gram ครั้งเดียว
- Ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
- Ciprofloxacin 500 mg วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ไม่ควรให้ในคนท้อง
- Erythromycin 500 mg วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
แผลมากจะดีขึ้นใน 3-7 วัน ระยะเวลาในการรักษาขึ้นกับขนาดของแผล แผลที่มีขนาดใหญ่อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา 2 สัปดาห์
การป้องกัน
- อย่าสำส่อนทางเพศ
- ใช้ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ(ป้องกันได้เฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น ผิวหนังส่วนอื่นไม่สามารถป้องกัน)
- หากมีแผลให้งดการมีเพศสัมพันธ์
โรคแทรกซ้อน
- เนื่องจากเป็นแผลทำให้เกิดการติดเชื้อ HIV ง่ายขึ้น
- ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอาจจะอักเสบจนแตกเป็นหนองไหลออกมา หากไม่รักษาใน 5-8วันหลังจากเกิดแผล
- แผลอาจจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
- หากเป็นแผลที่หนังอวัยวะเพศชายอาจจะเกิดพังผืด
Link https://www.siamhealth.net
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย
ต่อมลูกหมาก
ต่อมลูกหมาก
ท่านผู้ชายจะไม่มีอาการของต่อมลูกหมากจนกระทั่งอายุย่างเข้า 40 ปีโดยเฉพาะเมื่ออายุ 60 ปีจะเริ่มมีปัญหาทางต่อมลูกหมากเช่นมะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ การตรวจต่อมลูกหมากประจำปีจะช่วยให้การวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น
ความสำคัญของต่อมลูกหมาก
- ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะหนึ่งของระบบสืบพันธ์ของผู้ชาย อยู่บริเวณใต้ต่อกระเพาะปัสสาวะหน้าต่อลำไส้ใหญ่
- ต่อมลูกหมากจะอยู่รอบท่อปัสสาวะ ขนาดของต่อมลูกหมากเท่ากับ walnut
- ต่อมลูกหมากประกอบด้วยกล้ามเนื้อและต่อมผลิตน้ำหล่อเลี้ยงเชื้ออสุจิที่เรียก semen
- ต่อมลูกหมากจะต้องได้รับการหล่อเลี้ยงจากฮอร์โมนเพศชายที่เรียกว่า testosterone ซึ่งสร้างมาจากอัณฑะ
การตรวจต่อมลูกหมากประจำปี
แนะนำให้ชายทุกคนควรได้รับการตรวจต่อมลูกหมากประจำทุกปีและตรวจซ้ำเมื่อเกิดอาการเหตุผลของการตรวจประจำปีคือ
- เนื่องจากมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกจะไม่มีอาการ การตรวจพบระยะเริ่มต้นจะทำให้การรักษาได้ผลดี
- การตรวจต่อมลูกหมากจะช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคของต่อมลูกหมากเช่น ต่อมลูกหมากโต และต่อมลูกหมากอักเสบ
อาการของผู้ป่วยที่มีโรคต่อมลูกหมาก
- ปัสสาวะไม่พุ่ง
- ปัสสาวะกระปริดกระปอย
- ปัสสาวะบ่อย
- กลั้นปัสสาวะไม่ได้
- ต้องตื่นกลางคืนขึ้นมาปัสสาวะบ่อย
- ปัสสาวะหยุดเป็นพักๆ
- ปัสสาวะมีเลือด
- ปวดเวลาปัสสาวะ
การตรวจต่อมลูกหมาก
หลังจากซักประวัติแล้วสงสัยโรคต่อมลูกหมากแพทย์จะตรวจต่อม ลูกหมากอาจจะเป็นท่านอนตะแคงหรือยืนก้ม แพทย์จะใช้นิ้วสอดเข้าไปทางก้นแล้วตรวจต่อมลูกหมาก ถ้าพบก้อนหรือต่อมลูกหมากโตแพทย์จะส่งปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
แสดงท่าการตรวจต่อมลูกหมาก |
โรคของต่อมลูกหมากที่พบบ่อยได้แก่
- มะเร็งต่อมลูกหมาก
- ต่อมลูกหมากโต
- ต่อมลูกหมากอักเสบ แบ่งออกเป็น
- ต่อมลูกหมากอักเสบเฉียบพลัน
- ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง
- ต่อมลูกหมากอักเสบที่ไม่ใช่ติดเชื้อ