โรคเกี่ยวกับผู้หญิง โรคเกี่ยวกับช่องคลอด โรคเกี่ยวกับอวัยวเพศ
สตรีมีอวัยวะสืบพันธ์ที่สลับซับซ้อนแตกต่างจากบุรุษมาก และร่างกายของสตรีส่วนใหญ่รับภาระในการให้กำเนิดลูก ฉะนั้นอวัยวะของสตรีต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเป็นเวลานานก่อนการมีลูกแต่ละคน และถ้ามีลูกหลายคนอวัยวะเหล่านั้นก็ยิ่งต้องทำงานมากขึ้นอีกหลายเท่า จึงปรากฎว่าสตรีมีโอกาสเป็นโรคหรือมีความผิดปกติของอวัยวะที่ต่างไปจากบุรุษ หลายอย่างเช่น
1.โรคเกี่ยวกับประจำเดือน เช่น
1.1 ความผิดปกติเกี่ยวกับระยะ เวลาของรอบเดือน เช่นมาช้ากว่าปกติ หรือมาเร็วกว่าปกติ หรือขาดหายเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่ได้ตั้งครรภ์
1.2 ความผิดปกติเกี่ยวกับจำนวนเลือดที่ออก เช่นน้อยกว่าปกติหรือมากกว่าปกติ
1.3 การปวดท้อง ขณะมีประจำเดือน
2. อวัยวะสืบพันธุ์ผิดปกติ เช่น
2.1 เยื่อพรหมจารีไม่เปิด ทำให้เลือดประจำเดือนคั่งอยู่ในช่องคลอดและโพรงมดลูกต้องรักษาโดยการผ่าตัด
2.2 ไม่มีช่องคลอด หรือมีช่องคลอดเป็นบางส่วน
2.3 มีมดลูก 2 อัน หรือมีผนังกั้นในโพรงมดลูก
2.4 มีรังไข่ผิดปกติ เช่น มีขนาดเล็กมาก หรือไม่มีเลย
3. การมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด (ที่ไม่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์) ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบหรือเยื่อบุมดลูกหนาหรือเนื้องอก ในมดลูก หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งของมดลูก
4. การอักเสบและโรคติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์ เช่นมีตก ขาวผิดปกติ เป็นโรคซิฟิลิส หนองใน แผลริมอ่อน กามโรคที่ต่อมน้ำเหลือง กามโรคเนื้อตายที่บริเวณขาหนีบ หูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศเริม
5. กระบังลมหย่อน คือการหย่อนของผนังช่องคลอดด้านหน้าหรือด้านหลัง และหรือมีการเคลื่อนต่ำลงมาของมดลูก มักพบในหญิงที่คลอดบุตรหลายครั้ง คลอดบุตรยาก คลอดแล้วไม่ได้เย็บฝีเย็บหรือเย็บไม่ดี มักเป็นในหญิงที่มีอายุมาก อาการคือ ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อยทั้งสองข้างหลังจากยืนนานๆ ไอ จาม หรือยกของหนัก แล้วรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้อจุกบริเวณปากช่องคลอด ถ้าเป็นมากต้องผ่าตัดซ่อมแซมผนังช่องคลอด หรืออาจต้องตัดมดลูกออกเลย
โรคเกี่ยวกับช่องคลอด
ช่องคลอดอักเสบ Vaginitis |
ลักษณะทั่วไป
ช่องคลอดอักเสบ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทั่วไป ซึ่งอาจมีสาเหตุ อาการ และการรักษา
ที่แตกต่างกัน ในที่นี้จะขอกล่าวถึงช่องคลอดอักเสบที่พบบ่อย ได้แก ่ช่องคลอดอักเสบจาก
เชื้อราและจากเชื้อพยาธิทริโคโมแนส
สาเหตุ
1. ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
เกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า แคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดเดียวกับ
ที่ทำให้ลิ้นเป็นฝ้าขาว ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย จะมีเชื้อราชนิดนี้อยู่ในช่องคลอด แต่จะไม่แสดง
อาการอักเสบแต่อย่างไร เนื่องจากแบคทีเรียที่ไม่มีพิษภัยในช่องคลอดคอยสร้างกรด ช่วยควบ
คุมไม่ให้เชื้อราเจริญงอกงาม แต่ถ้าหากมีภาวะบางอย่าง ที่ทำให้แบคทีเรียเหล่านี้ถูกทำลาย
เช่น การกินยาปฏิชีวนะ (เช่น เตตราไซคลีน อะม็อกซีซิลลิน เป็นต้น) นาน ๆ หรือการสวนล้าง
ช่องคลอด เป็นต้น จะทำให้เชื้อราเจริญได้ นอกจากนี้การกินยาคุมกำเนิด หรือการตั้งครรภ์
ก็อาจเปลี่ยนแปลงสภาพภายในช่องคลอด ทำให้เชื้อราเจริญงอกงามได้เช่นกัน
2. ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อราทริโคโมแนส
เกิดจากเชื้อโปรโตชัว (สัตว์เซลล์เดียว) ซึ่งเป็นพยาธิขนาดเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ทริโคโมแนส
วาจินาลิส (Trichomonas vaginalis) ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้ ถือเป็น
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค) ชนิดหนึ่ง
อาการ
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
ผู้ป่วยจะมีอาการคันในช่องคลอด หรือรอบ ๆ ปากช่องคลอดอย่างมาก และมีตกขาวลักษณะ
ข้นขาวคล้ายแป้งเปียก หรือคราบนม อาจมีความรู้สึกเจ็บขณะร่วมเพศ หรือมีอาการปัสสาวะ
บ่อย และปวดแสบปวดร้อนร่วมด้วย บางคนอาจมีผื่นแดงรอบ ๆ ปากช่องคลอดหรือบริเวณ
ขาหนีบ
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส
ผู้ป่วยจะมีอาการคันในช่องคลอดมาก บางครั้งอาจมีอาการขัดเบา หรือปวดแสบปวดร้อนเวลา
ปัสสาวะ และมีอาการตกขาว ออกเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นเหม็น มักออกเป็นจำนวนมาก
และมีลักษณะเป็นฟอง ๆ
การรักษา
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาล อาจต้องตรวจภายในช่องคลอด และนำตกขาวไปตรวจส่องด้วย
กล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อราที่เป็นสาเหตุ การรักษา ให้ยาเหน็บช่องคลอด ซึ่งเข้ายาฆ่าเชื้อรา
เช่น ยาเหน็บช่องคลอดนิสแตติน (Nystatin) ขนาด 100,000 ยูนิต หรือยาเหน็บช่องคลอด
ไมโคสแตติน (Mycostatin) เหน็บเช้าเม็ด และก่อนนอนอีกเม็ด เหน็บทุกวันติดต่อกัน 14 วัน
หรือใช้ยาเหน็บโคลไตรมาโซล (Clotrimazole) ขนาด 500 มก. เหน็บครั้งเดียว ก่อนนอน
หรือใช้ขนาด 100 มก. เหน็บวันละครั้ง ก่อนนอน ทุกคืนติดต่อกัน 6 วัน หรือกินยาคีโตโคนาโซล
400 มก. วันละครั้ง นาน 5 วัน ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้อง
กันการติดเชื้อ
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส
หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาล อาจต้องตรวจภายในช่องคลอด และนำตกขาวไปตรวจส่องด้วย
กล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อทริโคโนแนส การรักษาให้ยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ เมโทรไนดาโซล 2 กรัม
(ขนาด 200 มก. 10 เม็ด) ครั้งเดียว หรือให้ครั้งละ 500 มก.วันละ 2 ครั้ง นาน 7 วัน และควรให้
ฝ่ายชายกินยานี้พร้อม ๆ กันไปด้วย เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายหญิงรับเชื้อราซ้ำอีก ในหญิงตั้งครรภ์
3 เดือนแรก ไม่ควรกินยานี้ ควรใช้ยาเหน็บโคไตรมาโซล (Clotrimazole) ขนาด 500 มก.
เหน็บครั้งเดียว ก่อนนอน หรือขนาด 100 มก. เหน็บวันละครั้ง ก่อนนอน ติดต่อกัน 6 วัน
แนะนำ
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
1. โรคนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่ทำให้มีอาการคันในช่องคลอดรุนแรง จน
บางครั้งทำให้เสียบุคลิกภาพ
2. ในกรณีที่ไม่สามารถให้แพทย์ตรวจภายในช่องคลอด ถ้ามีประวัติอาการชัดเจน เช่น มี
อาการหลังกินยาปฏิชีวนะ ก็อาจให้ยาหน็บช่องคลอดไปได้เลย ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์
จึงค่อยแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล
3. ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด ถ้ามีอาการของโรคนี้ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรเลิกกินยาคุม
กำเนิดและหันไปคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน
4. อาการช่องคลอดอักเสบ (ตกขาวและคัน) อาจเป็นอาการแสดงของโรคเบาหวานได้ หาก
สงสัยควรตรวจน้ำตาลในปัสสาวะหรือในเลือด
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส
1. โรคนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่จะมีอาการคันมากจนเป็นที่น่ารำคาญ หรือ
เสียบุคลิกภาพ
2. ผู้ชายที่ติดเชื้อตัวนี้ อาจไม่แสดงอาการอะไรก็ได้ แต่สามารถแพร่เชื้อให้ฝ่ายหญิง ทางที่ดี
ถ้าพบว่าฝ่ายหญิงเป็นโรคนี้ ควรให้ฝ่ายชายกินยารักษาพร้อม ๆ กันไปด้วย
การป้องกัน
การป้องกัน ให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงในที่ทำจากไนล่อน หรือใยสังเคราะห์ เพราะทำ
ให้อับชื้นซึ่งเชื้อราอาจเจริญง่าย อย่าสวนล้างช่องคลอดโดยไม่จำเป็น และอย่ากินยาปฏิชีวนะ
(มักมีอยู่ในยาชุด) โดยไม่จำเป็น
รายละเอียด
ควรรักษาหญิงที่ตกขาวจาก เชื้อทริโคโมแนสพร้อมกับสามี
การตกขาวแบบธรรมดา
ผู้หญิง บางคนอาจมีอาการตกขาวได้บ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงกึ่งกลางระหว่าง
รอบเดือน ซึ่งเป็นระยะที่มีการตกไข่ นอกจากนี้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิด ก็อาจมี
อาการตกขาวเป็นปกติธรรมดาได้อาการตกขาวที่เป็นธรรมดา จะมีลักษณะเป็นมูกใส หรือ
คล้ายแป้งเปียก แต่ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และไม่คันโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องให้การรักษาแต่อย่าง
ไร แต่ถ้าเป็นติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ หรือสงสัยว่าอาจมีสาเหตุที่ผิดปกติ ก็ควรแนะนำ
ผู้ป่วยไปโรงพยาบาล เพื่อทำการตรวจภายในช่องคลอด และให้การรักษาถ้าพบมีสาเหตุที่
ผิดปกติในเด็กผู้หญิง ที่ใส่กางกางในใยสังเคราะห์ บางครั้งอาจไม่รู้จักรักษาความสะอาด
และปล่อยให้อบ ก็อาจมีน้ำเมือกจากช่องคลอดออกมาเปื้อนกางกางใน ซึ่งจะไม่มีกลิ่น และ
ไม่คัน ให้รักษาความสะอาดด้วยการใช้น้ำสะอาดชะล้าง และเปลี่ยนมาใช้กางกางในผ้าฝ้าย
แทน
Link https://www.thailabonline.com
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โรคเกี่ยวกับอวัยวเพศ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Sexual tranmitted disease
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เริ่มจะพบมากขึ้นในวัยรุ่นซึ่งจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยที่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การป้องกันตัวเองทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อ การที่เรามีความรู้เกี่ยวกับการติดต่อ อาการของโรค การรักษา จะเป็นขั้นแรกของการป้องกันโรค ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรทราบ
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้น แต่พบมากในหมู่วัยรุ่น
- อัตราการติดเชื้อของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบมากขึ้นเนื่องจากวัยรุ่นมีค่านิยมที่จะอยู่ก่อนแต่งงาน หรือนิยมมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังไม่มาก และที่สำคัญมีการหย่าล้างสูงทำให้คนมีสามีหรือภรรยาหลายคน ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยมากมักจะไม่เกิดอาการ ดังนั้นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อโดยที่ไม่รู้ตัว แพทย์บางประเทศจึงแนะนำให้มีการตรวจค้นหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับคน ที่สำส่อน
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขอย่างมาก
- โรคอาจจะลุกลามไปยังมดลูกหรือท่อรังไข่ทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง Pelvic inflammatory disease ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการเป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง เช่นการติดเชื้อ human papillomavirus infection (HPV) ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์
กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดโรค
- การมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือหญิงบริการใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การมีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การมีเพศสัมพันธ์กับคู่คนใหม่ใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การที่มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา
- การที่สามีหรือภรรยามีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การที่คู่ครองอยู่กันคนละที่
อาการของผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ปัสสาวะขัด
- มีผื่น แผลหรือตุ่มน้ำที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก
- มีหนองหรือน้ำหลั่งจากช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะ
- มีอาการคันหรือปวดบริเวณทวาร
- มีอาการแดงและปวดบริเวณอวัยวะเพศ
- ปวดท้องหรือปวดช่องเชิงกราน
- ปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวบ่อย
- การรักษาตั้งแต่เริ่มต้นจะทำให้รักษาหายขาด การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะทำให้ติดโรคเดอส์ง่ายขึ้น
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
>>>>>>โรคเอดส์<<<<<<<<
เป็นโรคที่เริ่มมีรายงานเมื่อปี 1981 เกิดจากเชื้อ human immunodeficiency virus (HIV), ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อพวกฉวยโอกาสและมะเร็ง
>>>>>การติดเชื้อ clamydia<<<<<<
เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุด ทำให้เกิดอาการมีหนองไหลและมีอาการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้รักษาอาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องเชิงกรานเป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
>>>>>การติดเชื้อ HPV<<<<<<<<<<
เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเมื่อติดเชื้อจะทำให้เกิดหูดขึ้น อ่านที่นี่
>>>>>>>>> หูดที่อวัยวะเพศ condloma<<<<<<<<<<<<<<
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ หูดขึ้นได้ทั้งแคมใหญ่ ช่องคลอด และปากมดลูก เชื้อบางชนิดทำให้เกิดมะเร็ง
>>>>>เริมที่อวัยวะเพศ<<<<<
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดเชื้อไวรัส herpes simplex virus ทำให้เกิดอาการปวดแสบบริเวณขา ก้นหรืออวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้ำใส แผลหายได้เองใน 2-3 สัปดาห์แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะกลับเป็นใหม่
>>>>>หนองในแท้ <<<<<
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหากไม่ได้รับการรักษา
>>>>> หูด<<<<<
เกิดจากเชื้อไวรัส human papillomavirus ทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศลักษณะเป็นผื่นนูน ไม่เจ็บ ผื่นจะมีขนาดใหญ่ขึ้น หากไม่รักษาผื่นจะโตเป็นลักษณะหงอนไก่ Molluscum
>>>>>ซิฟิลิส <<<<<
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ไม่บ่อย การติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็งไม่เจ็บที่อวัยวะเพศ ไม่ไม่รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่าเข้าข้อหรือออกดอก หากทิ้งไว้นานจะติดเชื้อที่ระบบประสาท และหัวใจ
>>>>>แผลริมอ่อน <<<<<<
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อ Haemophilus Ducreyi ลักษณะของโรคจะมีแผลที่อวัยวะเพศ บวมและเจ็บ บางคนมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้ำเหลือง
>>>>>ตัวโลน <<<<<
เกิดจากแมลงตัวเล็กที่เรียกว่า pediculosis pubis อาศัยอยู่ที่ขนหัวเหน่า ดูดเลือดคนเราเป็นอาหาร ผู้ที่เป็นโรคจะมีอาการคันเป็นหลัก เมื่อเกาจะทำให้เจ้าตัวเชื้อแพร่ไปยังบริเวณอื่น การวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยตาเปล่า จะพบไข่สีขาวเกาะตรงโคนขน ไข่จะมีลักษณะวงรี ส่วนตัวแมลงเมื่อกินเลือดเต็มที่จะออกสีน้ำตาล
หิด ตับอักเสบ หนองในเทียม อุ้งเชิงกรานอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ ติดเชื้อtrichomonase ฝีมะม่วง การติดเชื้อราในช่องคลอด
การรักษาตัวโลนสามารถซื้อยาทาได้ตามร้านขายยา แต่คนท้องหรือเด็กควรจะปรึกษาแพทย์
การป้องกัน สมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิท คู่นอนควรจะได้รับการดูแลพร้อมกันเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ เสื้อผ้าหรือผ้าปูที่นอนควนจะนำไปต้มหรือซักแห้ง แล้วรีดด้วยเตารีด ตัวแมลงอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมงเมื่อไม่ได้อยู่กับคน ส่วนไข่อยู่ได้นานถึง 6 วัน
การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือการไม่มีเพศสัมพันธ์ หากยังมีเพศสัมพันธ์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
- ไม่เปลี่ยนคู่นอน ให้มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
- ใส่ถุงยางให้ถูกต้องหากจะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
- อย่ามีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยเพราะจากสถิติหากมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยจะมีโอกาสติดโรคสูง
- ให้ตรวจประจำปีเพื่อหาเชื้อโรคแม้ว่าจะไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการแต่งงานใหม่
- เรียนรู้อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- อย่าร่วมเพศขณะมีประจำเดือน เพราะจะทำให้เกิดโรคติดต่อได้ง่าย
- อย่ามีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย
- อย่าสวนล้างช่องคลอดเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
สำหรับผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต้องปฏิบัติตัวอย่าง
- ให้รักษาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
- แจ้งให้คู่นอนทราบว่าคุณเป็นโรคเพื่อที่จะป้องกันโรคมิให้แพร่สู่คนอื่น และให้ได้รับการรักษา
- รักษาตามแพทย์สั่ง
- งดร่วมเพศ
อาการของโรคและเชื้อที่เป็นสาเหตุ
อาการ | เชื้อที่เป็นสาเหตุ |
ตกขาวมากผิดปกติ | clamydia herpes gonorrhea PID trichomonase yeast infection Bacterial vaginosis |
หนองไหลจากอวัยวะเพศ | clamydia gonorrhea trichomonase หนองในเทียม |
เลือดออกช่องคลอดผิดปกติ | clamydia gonorrhea PID |
เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ | clamydia herpes gonorrhea PID |
ปัสสาวะขัด | clamydia herpes gonorrhea trichomonase |
ปวดท้องน้อย | clamydia gonorrhea PID |
ปวด บวมอัณฑะ | clamydia gonorrhea |
คันบริเวณอวัยวะเพศ | trichomonase yeast infection Bacterial vaginosis herpes |
แผลบริเวณอวัยวะเพศ | herpes chancroid syphilis |
ก้อนเนื้อบริเวณอวัยวะเพศ | warts |
ตัวเหลืองตาเหลือง | heapatitis B heapatitis C |