โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศหญิง โรคเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ โรคเกี่ยวกับอวัยเพศหญิง


16,356 ผู้ชม


 โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศหญิง โรคเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ โรคเกี่ยวกับอวัยเพศหญิง

 [ kidshealth ]

ภาพที่ 1: ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง (female reproductive system) อยู่ในอุ้งเชิงกราน หรือช่องท้องส่วนล่าง เส้นสีดำในภาพแสดงกระดูกจากบนลงล่างได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน และกระดูกขาท่อนบนตามลำดับ

อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงแสดงเป็นภาพเล็ก แต้มสีม่วง ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถชมภาพเคลื่อนไหวจริงได้ที่เว็บไซต์ 'kidshealth.org' > Thank [ kidshealth ]

...

 [ kidshealth ]

ภาพที่ 2: อวัยวะ สืบพันธุ์เพศหญิงภายนอก มองในท่าผู้หญิงนอนหงาย งอเข่า (ชันเข่า) เท้าตั้งอยู่บนพื้น หรือขาหยั่งเตียงตรวจ ต่อไปจะแสดงตำแหน่งกายวิภาคจากบนลงล่าง > Thank [ kidshealth ]

  • clitoris = คลิทอริส ปุ่มกระสัน เม็ดละมุด เป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึกสัมผัสสูงมาก
  • urethra = ท่อปัสสาวะ
  • labia majora = แคมนอก หรือขอบอวัยวะเพศส่วนนอก
  • labia minora = แคมใน หรือขอบอวัยวะเพศส่วนใน
  • vagina = ช่องคลอด
  • anus = ทวารหนัก

...

 [ kidshealth ]

ภาพที่ 3: ช่อง คลอด (vagina) เป็นอวัยวะกลวง แต้มด้วยแถบสีเขียว ช่องคลอดเป็นส่วนที่ต่อลงมาจากมดลูก (uterus) โดยผ่านทางปากมดลูก (cervix) > Thank [ kidshealth ]

ช่องคลอดทำหน้าที่เป็นทางผ่าน เปรียบคล้ายอุโมงค์หรือถ้ำที่มีความยืดหยุ่น-ขยายตัวได้ สำหรับ 2 สถานการณ์ได้แก่

  • (1). เวลาร่วมเพศ... อวัยวะเพศชายจะสอดเข้าไปในช่องนี้
  • (2). เวลาคลอด... เด็กจะคลอดออกมาทางนี้เช่นกัน 

...

 [ kidshealth ]

ภาพที่ 4: มดลูก (uterus = womb) แต้มด้วยแถบสีเขียว เป็นอวัยวะกลวง ผนังเป็นกล้ามเนื้อเรียบ ขยายตัวหรือหนาตัวเพื่อรองรับเด็กในครรภ์ รก และถุงน้ำคร่ำระหว่างการตั้งครรภ์ได้ > Thank [ kidshealth ]

...

 

ภาพที่ 5: ท่อนำไข่ (fallopian tubes) แต้มด้วยแถบสีเขียว เป็นอวัยวะกลวง เป็นท่อคล้ายหลอดดูดน้ำ ผนังเป็นกล้ามเนื้อเรียบ > Thank [ kidshealth ]  

ท่อนำไข่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านให้อสุจิ (sperm) ของผู้ชายวิ่งจากโพรงมดลูกผ่านท่อนำไข่ ไปผสมกับไข่ (ovum) ของผู้หญิงได้ การผสมระหว่างไข่กับอสุจิส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในท่อนำไข่

...

 

ภาพที่ 6: รังไข่ (ovary = รังไข่ข้างเดียว; ovaries = รังไข่ 2 ข้าง) แต้มด้วยแถบสีเขียว > Thank [ kidshealth ]  

รังไข่มี 2 ข้าง (ซ้าย-ขวา) และจะทำหน้าที่สลับกัน เดือนละ 1 ข้าง... ไข่ที่สะสมไว้ในรังไข่จะโตขึ้นเพียงบางฟอง และฟองที่โตที่สุดจะแตก หรือ "ระเบิด" ออกจากผนังรังไข่ และเข้าไปในท่อรังไข่ เพื่อรอการผสมจากอสุจิ (sperm) ต่อไป

...

 [ kidshealth ]

ภาพที่ 7: อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง > Thank [ kidshealth ]

  • vagina = ช่องคลอด
  • cervix = ปากมดลูก
  • uterus = มดลูก ( = womb)
  • fallopian tube = ท่อนำไข่
  • ovary = รังไข่ (ovaries = รังไข่ 2 ข้าง)

...

ภาพที่ 8: วงจรประจำเดือน > Thank [ kidshealth ]

วงจรประจำเดือนมีรอบตามพระจันทร์ หรือประมาณ 28 วัน แบ่งเป็นครึ่งแรกกับครึ่งหลังคล้ายๆ ฟุตบอล ครึ่งแรกเป็นช่วงเตรียมการตกไข่ ตรงกลางหรือประมาณวันที่ 14 เป็นช่วงตกไข่ (ไข่ในรังไข่ แสดงไว้ด้วยลูกศร)

...

การเปลี่ยนแปลงในครึ่งแรกของรอบเดือนที่สำคัญ คือ เยื่อบุมดลูกจะหนาตัวขึ้น แสดงไว้ด้วยแถบสีแดง ด้านในโพรงมดลูก

ตัวเลขในภาพแสดงวันที่ของรอบเดือน ความหนาของเยื่อบุมดลูกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเตรียมรองรับการฝังตัวของไข่ (ovum) ถ้าได้รับการผสมจากอสุจิ (sperm) ของผู้ชาย

...

ภาพที่ 9: อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง > Thank [ kidshealth ]

ช่วงใกล้กลางรอบเดือน... ไข่บางฟองจะโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เกือบทั้งหมดจะมีการตกไข่เพียง 1 ฟอง/เดือน สลับกันระหว่างรังไข่ข้างซ้าย-ขวา

...

ถ้าไม่มีการตกไข่... จะไม่มีการตั้งครรภ์, ถ้ามีการตกไข่มากกว่า 1 ฟอง และได้รับการผสมจากอสุจิ (sperm) ของผู้ชาย อาจเกิดเด็กแฝดขึ้นได้

...

ภาพที่ 10: อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง > Thank [ kidshealth ]

ภาพนี้แสดงการตกไข่ (ovulation) หรือการแตกของไข่ (ovum) ออกจากรังไข่ เข้าไปในท่อรังไข่ (fallopian tube)

...

ภาพที่ 11: อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง > Thank [ kidshealth ]

ท่อรังไข่ (fallopian tubes) มีเซลล์ขน ช่วยพัดโบกไข่ให้เคลื่อนไปสู่โพรงมดลูกทีละน้อยๆ และมีการหดตัวของท่อรังไข่ช่วย

...

ถ้ามีการร่วมเพศกับผู้ชายช่วงนี้พอดี... จะเกิดการผสมระหว่างอสุจิ (sperm) ของผู้ชายกับไข่ (ovum) ของผู้หญิง ทำให้เกิดการตั้งครรภ์

ไข่ที่ผสมแล้วจะเกิดเป็นชีวิตใหม่ และฝังตัวในเยื่อบุมดลูก เพื่อเติบโตไปเป็นเด็ก หรือแท้งออกต่อไป (ไข่ที่ผสมแล้วส่วนใหญ่ ประมาณ 80% จะแท้ง ส่วนน้อย 20% จะโตไปเป็นเด็ก "การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก" จริงๆ)

...

ภาพที่ 12: อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง > Thank [ kidshealth ]

ถ้าไข่ (ovum) ไม่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ (sperm), ไม่มีการตกไข่ หรือการฝังตัวที่ผนังเยื่อบุมดลูกไม่สำเร็จด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง... เยื่อบุมดลูกจะหมดหน้าที่ มีการหดตัวของเส้นเลือด และตกออกมาเป็นประจำเดือน 

...................................................................................

 

อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงมีจุดที่สำคัญได้แก่

(1). ท่อนำไข่

  • มีโอกาสตีบตันได้ ถ้าติดเชื้อ เช่น หนองในเทียม ฯลฯ ซึ่งมักจะติดจากการสำส่อนทางเพศ ทำให้ท่อนำไข่อักเสบ และตีบตัน;

...

  • ถ้าตีบตันอย่างเดียว... อสุจิอาจผสมกับไข่ได้ แต่ไข่มีขนาดใหญ่ ผ่านลงด้านล่างไม่ได้ ทำให้เสี่ยงการตั้งครรภ์นอกมดลูก (ส่วนใหญ่เกิดในท่อนำไข่) ซึ่งอาจตกเลือดถึงตายได้
  • ถ้าตีบตันมาก... อสุจิหรือไข่อาจผ่านไปไม่ได้เลย ทำให้ไม่มีโอกาสผสมพันธุ์ และเป็นหมัน

(2). เยื่อบุมดลูก

  • อาจกลายเป็นมะเร็งได้ ซึ่งพบบ่อยหลังหมดประจำเดือน เพราะฉะนั้นถ้ามีเลือดออกทางช่องคลอดหลังหมดประจำเดือน จำเป็นต้องรีบไปตรวจดูว่า เป็นผลจากเยื่อบุมดลูกแบ่งตัวผิดปกติ หรือมะเร็งเยื่อบุมดลูก เพื่อจะได้รีบรักษา และผลการรักษามักจะดี

(3). ปากมดลูก

  • ปากมดลูกเป็นส่วนที่พบมะเร็งมากที่สุดในผู้หญิง (รองลงไปคือ เต้านม)... มะเร็งนี้มีความสัมพันธ์กับไวรัสหูด (human papillomavirus / HPV)

...

  • การไม่สำส่อนทางเพศ หรือฉีดวัคซีนมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้
  • ทุกวันนี้เทคโนโลยีในการตรวจหามะเร็งปากมดลูก... ตรวจหามะเร็งได้ตั้งแต่ยังไม่เป็น และพบได้ตั้งแต่ระยะก่อนเป็นมะเร็ง (เนื้อกลาย) ทำให้โอกาสหายขาดสูงมาก

...

  • ผู้หญิงที่มีอายุ 20 ปี หรือร่วมเพศก่อนอายุ 20 ปี ควรปรึกษาหมอใกล้บ้านว่า ควรตรวจมะเร็งปากมดลูกเมื่อไร และตรวจได้ที่ไหน (เมืองไทยตรวจได้ที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน และโรงพยาบาล)

...

(4). ท่อปัสสาวะ

  • ผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชาย ติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะอักเสบ-กรวยไตอักเสบจากการติดเชื้อได้ง่าย จึงควรดื่มน้ำให้พอ สังเกตได้จากสีปัสสาวะควรจะใส-ไม่มีสี หรือมีสีเหลืองจางๆ ไม่ใช่เหลืองเข้ม,

...

  • ถ้าปัสสาวะน้อยกว่า 2 ชั่วโมง/ครั้งในช่วงกลางวันอาจเป็นผลจากการดื่มน้ำไม่พอ, ถ้าปัสสาวะเกิน 1 ครั้ง/ขั่วโมงอาจเป็นผลจากการดื่มน้ำมากเกินไป
  • วิธีป้องกันกระเพาะปัสสาวะ หรือกรวยไตอักเสบที่สำคัญ คือ ดื่มน้ำให้พอ ไม่กลั้นปัสสาวะ โดยเฉพาะเมื่อต้องออกนอกบ้าน หรือเดินทางไกล
    Link  https://health2u.exteen.com
                           +++++++++++++++++++++++++++++++++
    โรคเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์
  1. สัมพันธ์สามารถติดต่อโดยที่ไม่รู้ตัว แพทย์บางประเทศจึงแนะนำให้มีการตรวจค้นหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับคนที่สำส่อน
  2. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขอย่างมาก
  • โรคอาจจะลุกลามไปยังมดลูกหรือท่อรังไข่ทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง Pelvic inflammatory disease ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการเป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง เช่นการติดเชื้อ human papillomavirus infection (HPV) ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์

กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดโรค

  • การมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือหญิงบริการใน 3 เดือนที่ผ่านมา
  • การมีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
  • การมีเพศสัมพันธ์กับคู่คนใหม่ใน 3 เดือนที่ผ่านมา
  • การที่มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา
  • การที่สามีหรือภรรยามีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
  • การที่คู่ครองอยู่กันคนละที่

อาการของผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ปัสสาวะขัด
  • มีผื่น แผลหรือตุ่มน้ำที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก
  • มีหนองหรือน้ำหลั่งจากช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะ
  • มีอาการคันหรือปวดบริเวณทวาร
  • มีอาการแดงและปวดบริเวณอวัยวะเพศ
  • ปวดท้องหรือปวดช่องเชิงกราน
  • ปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
  • ตกขาวบ่อย
  1. การรักษาตั้งแต่เริ่มต้นจะทำให้รักษาหายขาด การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะทำให้ติดโรคเดอส์ง่ายขึ้น

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

>>>>>>โรคเอดส์<<<<<<<<

เป็นโรคที่เริ่มมีรายงานเมื่อปี 1981 เกิดจากเชื้อ human immunodeficiency virus (HIV), ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อพวกฉวยโอกาสและมะเร็ง

>>>>>การติดเชื้อ clamydia<<<<<<

เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุด ทำให้เกิดอาการมีหนองไหลและมีอาการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้รักษาอาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องเชิงกรานเป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก

>>>>>การติดเชื้อ HPV<<<<<<<<<<

เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเมื่อติดเชื้อจะทำให้เกิดหูดขึ้น อ่านที่นี่

>>>>>>>>> หูดที่อวัยวะเพศ condloma<<<<<<<<<<<<<<

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ หูดขึ้นได้ทั้งแคมใหญ่ ช่องคลอด และปากมดลูก เชื้อบางชนิดทำให้เกิดมะเร็ง

>>>>>เริมที่อวัยวะเพศ<<<<<

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดเชื้อไวรัส herpes simplex virus ทำให้เกิดอาการปวดแสบบริเวณขา ก้นหรืออวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้ำใส แผลหายได้เองใน 2-3 สัปดาห์แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะกลับเป็นใหม่

>>>>>หนองในแท <<<<<

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหากไม่ได้รับการรักษา

>>>>> หูด<<<<<

เกิดจากเชื้อไวรัส human papillomavirus ทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศลักษณะเป็นผื่นนูน ไม่เจ็บ ผื่นจะมีขนาดใหญ่ขึ้น หากไม่รักษาผื่นจะโตเป็นลักษณะหงอนไก่ Molluscum

>>>>>ซิฟิลิส <<<<<

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ไม่บ่อย การติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็งไม่เจ็บที่อวัยวะเพศ ไม่ไม่รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่าเข้าข้อหรือออกดอก หากทิ้งไว้นานจะติดเชื้อที่ระบบประสาท และหัวใจ

>>>>>แผลริมอ่อน <<<<<<

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อ Haemophilus Ducreyi ลักษณะของโรคจะมีแผลที่อวัยวะเพศ บวมและเจ็บ บางคนมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้ำเหลือง

>>>>>ตัวโลน <<<<<

เกิดจากแมลงตัวเล็กที่เรียกว่า pediculosis pubis อาศัยอยู่ที่ขนหัวเหน่า ดูดเลือดคนเราเป็นอาหาร ผู้ที่เป็นโรคจะมีอาการคันเป็นหลัก เมื่อเกาจะทำให้เจ้าตัวเชื้อแพร่ไปยังบริเวณอื่น การวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยตาเปล่า จะพบไข่สีขาวเกาะตรงโคนขน ไข่จะมีลักษณะวงรี ส่วนตัวแมลงเมื่อกินเลือดเต็มที่จะออกสีน้ำตาล

หิด ตับอักเสบ หนองในเทียม อุ้งเชิงกรานอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ ติดเชื้อtrichomonase ฝีมะม่วง การติดเชื้อราในช่องคลอด

การรักษาตัวโลนสามารถซื้อยาทาได้ตามร้านขายยา แต่คนท้องหรือเด็กควรจะปรึกษาแพทย์

การป้องกัน สมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิท คู่นอนควรจะได้รับการดูแลพร้อมกันเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ เสื้อผ้าหรือผ้าปูที่นอนควนจะนำไปต้มหรือซักแห้ง แล้วรีดด้วยเตารีด ตัวแมลงอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมงเมื่อไม่ได้อยู่กับคน ส่วนไข่อยู่ได้นานถึง 6 วัน

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือการไม่มีเพศสัมพันธ์ หากยังมีเพศสัมพันธ์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

  • ไม่เปลี่ยนคู่นอน ให้มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
  • ใส่ถุงยางให้ถูกต้องหากจะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
  • อย่ามีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยเพราะจากสถิติหากมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยจะมีโอกาสติดโรคสูง
  • ให้ตรวจประจำปีเพื่อหาเชื้อโรคแม้ว่าจะไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการแต่งงานใหม่
  • เรียนรู้อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • อย่าร่วมเพศขณะมีประจำเดือน เพราะจะทำให้เกิดโรคติดต่อได้ง่าย
  • อย่ามีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย
  • อย่าสวนล้างช่องคลอดเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

สำหรับผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต้องปฏิบัติตัวอย่าง

  • ให้รักษาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
  • แจ้งให้คู่นอนทราบว่าคุณเป็นโรคเพื่อที่จะป้องกันโรคมิให้แพร่สู่คนอื่น และให้ได้รับการรักษา
  • รักษาตามแพทย์สั่ง
  • งดร่วมเพศ

อาการของโรคและเชื้อที่เป็นสาเหตุ

อาการ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
ตกขาวมากผิดปกติ clamydia herpes gonorrhea PID trichomonase yeast infection Bacterial vaginosis
หนองไหลจากอวัยวะเพศ clamydia gonorrhea trichomonase หนองในเทียม
เลือดออกช่องคลอดผิดปกติ clamydia gonorrhea PID
เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ clamydia herpes gonorrhea PID
ปัสสาวะขัด clamydia herpes gonorrhea trichomonase
ปวดท้องน้อย clamydia gonorrhea PID
ปวด บวมอัณฑะ clamydia gonorrhea
คันบริเวณอวัยวะเพศ trichomonase yeast infection Bacterial vaginosis herpes
แผลบริเวณอวัยวะเพศ herpes chancroid syphilis
ก้อนเนื้อบริเวณอวัยวะเพศ warts
ตัวเหลืองตาเหลือง heapatitis B heapatitis C
 
           Link     https://www.siamhealth.net
 
+++++++++++++++++++++++++++++
 
โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
 
             โรคเกี่ยวกับอวัยเพศหญิง
         ปีกมดลูกอักเสบ (salpingitis) หมายถึง การอักเสบของท่อรังไข่ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ ระหว่างอายุ15-45 ปี เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูกขึ้นไปในโพรง มดลูก และลุกลามต่อไปจนถึงท่อรังไข่

บางครั้งอาจพบการติดเชื้อร่วมกันในหลายตำแหน่ง และเรียกรวมๆ กันว่า "อุ้งเชิงกรานอักเสบ" (pelvic inflammatory disease หรือ PID)

ภาวะติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานเป็นการติด เชื้อบริเวณมดลูก รังไข่ และท่อรังไข่ สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อผ่านขึ้นมาทางช่องคลอดและปากมดลูก หรือบางรายเกิดจากการติดเชื้อมาตามกระแสเลือด อาจจะมีแหล่งเชื้อโรคมาจากอวัยวะอื่นๆ เช่น ฟันผุ ไซนัสอักเสบ เป็นต้น ปีกมดลูกอักเสบส่วนใหญ่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง เชื้อโรคที่พบบ่อยคือ เชื้อหนองใน รองลงมาคือเชื้อคลามัยเดีย ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการตกขาวและปวดท้องน้อย ถ้าอาการไม่มากแพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน แต่ถ้าเป็นมาก มีการติดเชื้อรุนแรง หรือมีอาการปวดรุนแรง จำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ได้รับยาปฏิชีวนะชนิดยาฉีด

สาเหตุ

  1. โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงที่สำส่อนทางเพศ หรือมีสามีที่สำส่อนทางเพศ
  2. อาจพบภายหลังการคลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด
  3. ส่วนหนึ่งมักเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่ชอบสวนล้างช่องคลอด
  4. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากเชื้อหนองใน Neisseria gonorrhea และเชื้อคลามัยเดีย Chlamydia trachomatis
  5. ในรายที่เกิดการติดเชื้อหลังคลอด สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัยในช่องคลอด เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส, สแตฟฟีโลค็อกคัส หรือเกิดจากการปนเปื้อนเชื้อจากภายนอกช่องคลอด เข้าไปในช่องคลอดและมดลูก มักเกิดขึ้นและปรากฎอาการภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
  6. เกิดจากการทำแท้งที่ไม่สะอาด และมีเชื้อโรคแพร่กระจายเข้าในมดลูกและปีกมดลูก

การติดเชื้อโดยทั่วไปจะเกิดขึ้น 2 ระยะ

  1. ระยะแรกเป็นการติดเชื้อที่ช่องคลอดและปากมดลูก
  2. ระยะที่สอง พบว่ามีการลุกลามเข้าไปในโพรงมดลูกและปีกมดลูก กลไกการเกิดโรดส่วนหนึ่งเป็นการจากไหลย้อนของระดู และการที่ปากมดลูกเปิดขณะที่มีประจำเดือน

อาการของโรค

  1. ผู้ป่วยมีอาการไข้ สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลัง คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีประจำเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็นในรายที่เกิดจากการติดเชื้อหนองใน อาจมีอาการขัดเบา ปัสสาวะปวดแสบขัดร่วมด้วย
  2. ถ้าเป็นการติดเชื้อหลังคลอด มักเกิดหลังคลอด 24 ชั่วโมง น้ำคาวปลาอาจออกน้อย หรืออาจออกมากและมีกลิ่นเหม็น
  3. ถ้าเกิดจากการทำแท้ง จะมีอาการแบบแท้งบุตรร่วมด้วย คือ ปวดบิดท้องเป็นพักๆ และมีเลือดออกจากช่องคลอดร่วมด้วย
  4. อาการปวดท้องน้อยเป็นอาการที่พบบ่อยในสตรี ต้องแยกโรคที่เกิดกับอวัยวะต่างๆ เช่น อวัยวะระบบทางเดินอาหาร อาจเป็นลำไส้อักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ อวัยวะระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นการเป็นโรคของกระเพาะปัสสาวะ หรือมีการอักเสบของท่อไต ปวดกล้ามเนื้อหน้าท้อง เส้นเอ็น ผิวหนัง
  5. การตรวจร่างกาย และ การตรวจภายใน พบว่ามีไข้สูง กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง มักจะได้กลิ่นของตกขาว เลือดประจำเดือน หรือน้ำคาวปลา ตรวบพบอาการซีด หรือภาวะช็อก

การวินิจฉัย

  1. จากประวัติอาการเจ็บป่วย ร่วมกับการตรวจร่างกาย และการตรวจภายในอย่างละเอียด การตรวจอัลตร้าซาวน์ ช่วยในการวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ โพรงหนองในท่อนำไข่ และช่วยวินิจฉัยแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน เช่น ถุงน้ำในรังไข่ ovarian torsion เป็นต้น
  2. รายงานการศึกษาวิจัยพบว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยที่ตรวจพบจากอัลตร้าซาวน์ ไม่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจทางหน้าท้องและการตรวจภายใน และร้อยละ 80 พบว่าการตรวจอัลต้าซาวน์ทางช่องคลอดได้ผลที่แม่นยำกว่า
  3. อาการปวดท้องน้อยอาจร้าวมาจากอวัยวะ อื่นๆ บริเวณใกล้เคียง แต่อาการปวดท้องน้อยอันเกิดจากอวัยวะบริเวณอุ้งเชิงกราน เกิดขึ้นบ่อยและมีหลายสาเหตุ เช่น พังผืดในอุ้งเชิงกราน เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอก หรือเป็นการปวดประจำเดือนหรือภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ที่พบบ่อยคือการ แท้งบุตรหรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก เป็นต้น
  4. อาการปวดท้องน้อยอาจต้องแยกจากภาวะฉุก เฉินอื่นๆ เช่น โรคไส้ติ่งอักเสบ ตั้งครรภ์นอกมดลูก ถุงน้ำรังไข่แตกหรือบิดขั้ว ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัด ภาวะอื่นๆ เหล่านี้บางทีอาการคล้ายคลึงกันมากแพทย์เองก็อาจจะตรวจแยกโรคได้ยากในเบื้อง ต้น การตรวจพิเศษและการเฝ้าสังเกตอาการอย่างต่อเนื่องสามารถวินิจฉัยได้ในเวลา ต่อมา

การรักษา

  1. ในรายที่รุนแรง ควรพักรักษาในโรงพยาบาล แพทย์พิจารณาให้การรักษาภาวะติดเชื้อ ดูแลเรื่องสารน้ำและเกลือดแร่ในร่างกาย อาจให้เลือดถ้าถ้าข้อบ่งชี้ และพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อโรค
  2. ยาปฏิชีวะที่ใช้ได้ผลดี ได้แก่ cephalosporin group, clindamycin, aminoglycosides, fluoroquinolones
  3. ปัจจุบันนี้ยาปฏิชีวนะมีประสิทธิภาพดี สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างกว้างขวาง บางครั้งอาจมีการดื้อยาหรือยาที่ให้ไม่ได้ผล อาจจะเปลี่ยนยากลุ่มใหม่ให้ตรงกับชนิดของเชื้อ โดยได้ผลจากการเพาะเชื้อและทราบชนิดของเชื้อที่เป็นต้นเหตุก่อโรคตัวจริง แต่บางรายเป็นโพรงหนองหรือถุงหนองรังไข่ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องรักษาโดยวิธีผ่าตัดเพื่อกำจัดโพรงหนองหรือถุงหนองรังไข่ออก จากร่างกาย
  4. โรคปีกมดลูกอักเสบมักจะรักษาหายภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยบางรายที่มีการติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานชนิดเรื้อรังหรือเพราะ ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม หรืออาจจะเป็นเชื้อที่ก่อโรคในลักษณะเรื้อรังได้ อาจจำเป็นต้องรักษานาน

ภาวะแทรกซ้อน

  1. ผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ คือ พังผืดในอุ้งเชิงกราน ซึ่งพบได้บ่อยหลังการติดเชื้อ และมักพบด้วยกันเสมอกับการติดเชื้อชนิดเรื้อรัง ซึ่งการเป็นพังผืดแม้ว่าภาวะติดเชื้อจะหายไปแล้วแต่ก็อาจจะมีอาการปวดท้อง น้อยเนื่องจากพังผืดได้เป็นระยะๆ เวลาที่มีการรั้งบริเวณมดลูกหรือปีกมดลูก เช่น การเคลื่อนไหวทำงาน การมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่ปวดมากขณะมีประจำเดือน ผู้ป่วยบางรายอาจทรมานถึงกับต้องผ่าตัดเพื่อเลาะพังผืดออก แต่อย่างไรก็สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้อีกเพราะพังผืดเกิดจากการผ่าตัดภายในช่อง ท้อง หรือภายในอุ้งเชิงกรานได้ด้วย การผ่าตัดรักษาจึงขึ้นอยู่กับความจำเป็นในผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยที่เป็นมากหรือเรื้อรังจำเป็นต้องหาภาวะที่มีความอ่อนแอของร่างกาย หรือภูมิต้านทานต่ำร่วมด้วย เช่น มีโรคประจำตัวบางชนิด เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคเอดส์ วัณโรค เป็นต้น
  2. เนื่องจากโรคติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานส่วน ใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นควรมีการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ร่วมด้วยเสมอ เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซิฟิลิส ติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น การตรวจหาการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากคู่สมรสก็มีความจำเป็นเช่น เดียวกัน เพื่อจะได้รับการดูแลรักษาไปในขณะเดียวกันด้วย
  3. การทำแท้งเถื่อนอาจทำให้มีการติดเชื้อใน อุ้งเชิงกรานได้ สาเหตุจากเครื่องมือการทำแท้งไม่สะอาด และเชื้อที่ก่อโรคจากการทำแท้งด้วยเครื่องมือที่ไม่เหมาะสมอาจพบว่าเป็น เชื้อที่ร้ายแรง ผู้ป่วยเองมักจะมาพบแพทย์ช้า รักษาไม่ทันกาลถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน

        Link     https://www.108health.com

อัพเดทล่าสุด