โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศ โรคเกี่ยวกับเพศสัมพันธุ์


7,211 ผู้ชม


โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศ โรคเกี่ยวกับเพศสัมพันธุ์

 โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์

         เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อสาว สรีระร่างกายในทุกอณูของผู้หญิง ล้วนแต่ถูกกำหนดโดยฮอร์โมนเพศ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเลือดประจำเดือน...
การมีรอบเดือนของผู้หญิง เกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศจากรังไข่ให้สร้างเยื่อบุมดลูกขึ้นภายในผนัง มดลูก เพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่ที่มีการปฎิสนธิกับสเปิร์มกลายเป็นตัวอ่อน หรือรองรับการตั้งครรภ์ใดๆเกิดขึ้น เยื่อบุมดลูกที่ถูกสร้างเตรียมไว้ก็จะถูกขับให้หลุดลอกผ่านทางช่องคลอดออก มานอกร่างกาย โดยปกติกระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและเป็นประจำทุกๆ 28 วัน หรือหนึ่งรอบเดือนโดย

         ประมาณ แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มีรอบเดือนมาไม่ปกติ หรือเวลาที่มีรอบเดือนมาแต่ละที สภาพร่างกายก็แทบจะรับไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวนซ้ำเติมขึ้นอีก สุขภาพที่แข็งแรงจะเกิดการแปรปรวนน้อยกว่า ผู้หญิงที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และมีภูมิต้านทานโรคสูง ในระยะก่อนหรือช่วงมีรอบเดือนมา จะมีอาการปวดเกร็งมดลูกน้อยกว่าผู้หญิงสภาพร่างกายอ่อนแอ ขาดสารอาหารหรือขาดการออกกำลังกาย ทั้งนี้ ราว 10 วัน ก่อนหน้าที่ประจำเดือนจะมาปริมาณแร่ธาตุต่างๆในร่างกาย

         โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แคลเซียมและสังกะสีในเลือดจะค่อยๆลดน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันแร่ธาตุทองแดงกลับเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการคัดเต้านม ช่องท้องพองตัว ปวดศรีษะ นอนไม่หลับ จิตใจไม่สงบ บางรายมีอาการกระสับกระส่าย ซึมเศร้า หรือในบางครั้งก็ตื่นเต้นอย่างไม่มีเหตุผล น้ำหนักตัวเพิ่ม ภูมิต้านทานต่ำ และง่ายต่อการแพ้และติดเชื้อ ทางแก้และป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดอาการต่างๆดังกล่าวในระยะก่อนมีประจำเดือน จึงควรรับประทานอาหารที่ช่วยปรับให้ร่างกายเกิดความสมดุล นอกจากจะต้องหมั่นรับ

          ประทานอาหารที่มีแคลเซียมและสังกะสีเพิ่มขึ้นแล้วก็ควร เพิ่มการรับประทานวิตามินซี เหล็ก แมกนีเซียมและวิตามินบีรวม ด้วย ลดอาการปวดเกร็งท้องด้วยวิตามินและแร่ธาตุ สำหรับอาการปวดเกร็งท้องเหมือนใครมาบิดไส้เป็นพักๆนั้นถือว่าเป็นอาการปกติ ที่ผู้หญิงกว่า 50% มักจะต้องเป็นกัน ซึ่งสาเหตุสำคัญของอาการปวดดังกล่าวเป็นผลมาจากพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ฮอร์โมนที่สร้างจากมดลูกสำแดงฤทธิ์เดชทำให้ผนังมดลูกมีการบีบตัวขณะที่มี ประจำเดือน อย่างไรก็ดีอาการเช่นนั้นสามารถ

         ทำให้ลดลงได้ โดยต้องบำรุงร่างกายด้วยวิตามินบี 6 ไนอาซิน โพแทสเซียม และแมกนีเซียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 ซึ่งนอกจากจะช่วยลดอาการปวดเกร็งท้องแล้วยังช่วยให้อาการบวมน้ำลดลงด้วย แล้วถ้าหากรับประทานวิตามินเอ วิตามินบีรวม และโฟเลตเพิ่มเติม ก็จะยิ่งช่วยบรรเทาภาวะอารมณ์กดดันในช่วงเวลานั้นได้อีกด้วย ส่วนผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาบ้างไม่มาบ้างนั้นก็แก้ไขด้วยการรับ

          ประทานวิตามินบีรวม วิตามินซี และธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น แล้วที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกาย ทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส และพยายามหลีกเลี่ยงจากความเครียดต่างๆก็จะช่วยปรับให้รอบเดือนมาตรงตามเวลา มากขึ้น นอกจากแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆแล้ว เราสามารถลดอาการปวดท้องเนื่องจากประจำเดือนได้โดยวิธีการดังนี้ 1. งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน และไม่รับประทานอาหารมากเกินไป หลีกเลี่ยง

        อาหารรสจัด และอาหารที่อาจทำให้ระบบทางเดินอาหารปั่นป่วน ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมให้อาการปวดท้องประจำเดือนยิ่งปวดหนักขึ้น 2. ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์แล้ว ยังช่วยทำให้เลือดประจำเดือนไหลออกมาได้สะดวกขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข หรือฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปช่วยต้านความเจ็บปวดจากการบีบตัวของมดลูกได้เป็นอย่าง หากปวดท้องมากผิดปกติไม่ควรนิ่ง

       นอนใจ ประมาณ 5-10% ของผู้หญิงทั่วไป มีอาการปวดท้องมากเกินปกติในทุกๆครั้งที่มีประจำเดือน ถึงขนาดที่ต้องรับประทานยาแก้ปวดในระหว่างที่มีรอบเดือนทุกครั้ง ถ้าเช่นนี้อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการมีประจำเดือนโดยไม่มีการตกไข่ เรียกเป็นภาษาทางการแพทย์ว่า อันโอวูลาทอรี ไซเคิล (Unovulatory Cycle) ก็เป็นได้ ซึ่งไม่ถือเป็นกรณีที่ร้ายแรงเพราะยังสามารถบรรเทาเยียวยาได้ด้วยยาแก้ปวด และต้องใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้น แต่สำหรับสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องมากผิด

           ปกตินอกเหนือจากกรณีดัง กล่าวข้างต้น อาจเป็นกรณีที่เกิดจากโรคร้ายแรงบางอย่างซ่อนอยู่อย่างเช่น โรคเชิงกรานอักเสบ หรือ เอนโดเมทริโอซิส (Endometriosis) ซึ่งเกิดจากการมีเยื่อบุของมดลูกไปก่อตัวขึ้นอยู่ในบริเวณอื่น และถ้าหากมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของต่อไทรอยด์ผิดปกติเข้ามาสมทบด้วย นอกจากจะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องมากแล้ว ก็จะทำให้เกิดมีเลือดประจำเดือนมามากผิดปกติร่วมด้วย

           ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาทจึงควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน มีเลือดออกกะปริดกะปรอยแบบไม่มีช่วงเวลาแน่นอน การมีเลือดออกกะปริดกะปรอย สำหรับผู้หญิงบางคน บางครั้งอาจเป็นเรื่องปกติซึ่งมักจะมีเลือดออกมาทุกครั้งประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนมีรอบเดือนแบบจริงจัง โดยสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจากการที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่ำ เกินไป แต่ถ้าหากการมีเลือดออกกะปริดกะปรอยดังกล่าวเกิดขึ้น

            แบบไม่มีช่วงเวลาแน่นอน ในแต่ละเดือนเช่นนี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของฮอร์โมนแต่อาจมีสาเหตุ มาจากเนื้องอก ผังพืด หรือถึงขั้นมะเร็งของมดลูกก็เป็นได้ อาการเจ็บคัดเต้านมก่อนและขณะมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเพิ่มสูงขึ้นในกระแสเลือด ก่อนที่รอบเดือนจะมามักส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคัดเต้านมได้ และโดยปกติอาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อประจำเดือนมา หรือเมื่อหมดไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากคุณรู้สึกหงุดหงิดกับอาการเช่นนี้ ทางที่ดีก็ควรงดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ 1 สัปดาห์ก่อนจะมีรอบเดือน ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่ผสมกาเฟอีนและช็อคโกแลต นอกจากนี้การรับประทานวิตามินอี ก็อาจจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้ เพราะวิตามินชนิดนี้มีฤทธิ์ที่ช่วย

             ต่อต้านเอสโตรเจน อย่างไรก็ตามหากาอาการเจ็บคัดเต้านม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน หากแต่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่นเป็นซีสต์ เนื้องอกเนื้อร้าย หรือเกิดจากการอักเสบของกระดูกซี่โครง เช่นนี้ควรรับปรึกษาแพทย์ทันที

              Link   https://www.108health.com

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
 
โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
         โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย ที่พบเป็นปัญหาได้บ่อยคือการที่ไม่สามารถที่จะทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว หรือคงสภาพการแข็งตัว

 เป็นเวลานานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ตามปกติได้ ปัจจุบันนิยมเรียกว่า "โรคอีดี" (Erectile Dysfunction) ความ เครียด ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกิน ยาบางอย่างเช่น ยารักษาภาวะซึมเศร้า ยานอนหลับ อาจมีผลทำให้เกิดการเสื่อมสมรรภาพทางเพศได้ หนึ่งในเวชภัณฑ์ที่กำลังได้รับความสนใจมากที่สุดขณะนี้ คือ ยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากอวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเป็นที่พึงพอใจ อาการเช่นนี้มักเกิดอยู่เป็นประจำ หรือไม่ก็เป็นอย่างต่อเนื่อง

โครงสร้างของอวัยวะเพศชาย

อวัยวะเพศของผู้ชายประกอบไปด้วยท่อสามท่อเหมือนฟองน้ำเรียกว่า corpus carvernosum สองท่อวิ่งขนานกับท่อปัสสาวะ อยู่ด้านบน และ corpus spongiosum 1 ท่อวิ่งอยู่ด้านล่าง เมื่อได้รับการกระตุ้นเลือดจะเข้าท่อฟองน้ำ ทำให้สามารถขยายได้มากถึง 7-9 เท่า ทำให้อวัยวะเพศใหญ่ขึ้น และ แข็งตัวเต็มที่ ตราบเท่าที่ยังมีการตื่นเต้นทางเพศ อวัยวะเพศก็ยังแข็งตัว แต่เมื่อมีการหลั่งเลือดออกจากอวัยวะเพศทำให้มีการอ่อนตัว

กลไกการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย

  1. หลอด เลือดแดงที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศต้องไม่ตีบ เพราะการที่อวัยวะเพศจะแข็งตัวต้องมีเลือดไปคั่ง หากมีหลอดเลือดแดงแข็งเลือดก็ไม่สามารถไปเลี้ยงได้อย่างเต็มที่ ภาวะที่ทำให้หลอดเลือดแข็งได้แก่ ผู้ที่สูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  2. ระบบประสาทส่วนปลายซึ่งเป็นระบบที่จะรับความรู้สึกที่เกิดจากการสัมผัสทางร่างกาย
  3. ระบบไขสันหลังซึ่งเป็นระบบที่จะเชื่อมโยงการรับความรู้สึกจากประสาทส่วนปลายไปยังประสาทส่วนกลางและถ่ายทอดคำสั่งมายังองคชาติ
  4. ระบบประสาทส่วนกลางซึ่งประกอบด้วยสิ่งเร้าทั้งหลาย เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น รวมทั้งจิตนาการณ์และประสบการณ์ในอดีต
  5. สภาวะทางจิตใจ

สาเหตุ

  1. สำหรับสาเหตุทางกายที่พบได้แก่ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคระบบหัวใจ และการไหลเวียนของเลือด และผู้ที่สูงอายุ
  2. เบาหวานถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย และคนไข้ชายที่เป็นเบาหวานจำนวน มากมายก็ประสบปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ คนไข้เหล่านี้มักจะมีแนวโน้มในการเกิดปัญหานี้ในขณะอายุน้อยกว่าผู้ชายทั่วๆ ไปด้วย นอกจากนี้ ผู้ชายที่มีโรคเบาหวานจะมีโอกาสเกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศมากกว่า ผู้ชายทั่วไปถึง 4 เท่า
  3. การมีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหนึ่งของการที่หลอดเลือดเกิดการแข็ง และตีบตันได้ ทำให้โลหิตที่ไหลไปสู่องคชาติลดน้อยลง ทำ ให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ตามมา นอกจากนี้ยาหลายชนิดที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง อาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศด้วย
  4. โรคหัวใจ และการมีไขมันคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดสูง โรคหัวใจ และการมีโคเลสเตอรอลสูงอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของโลหิตไปที่องคชาติ ทำ ให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ผู้ชายที่มีโรคหัวใจจะมีโอกาสเกิดภาวะปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศมากกว่า ผู้ช่วยทั่วไปถึง 2 เท่า
  5. โรคซึมเศร้า ร่วมกับภาวะความเครียด กังวล กลัวความล้มเหลว อาจ มีส่วนทำให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ในขณะเดียวกันผู้ชายที่มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ เพราะสาเหตุทางกายภาพอาจรู้สึกซึมเศร้า เครียด และวิตกกังวล
  6. การผ่าตัดต่อมลูกหมาก อาจเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้โดยไม่ตั้งใจ โดยการทำให้เส้นประสาท และหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณใกล้ๆ ต่อมลูกหมากเสียหายส่งผลต่อการแข็งตัวขององคชาติ
  7. โรคไต และโรคพิษสุราเรื้อรัง

ภาวะ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายนี้ อาจเกิดขึ้นได้เป็นช่วงสั้นๆ ในผู้ชายทุกคน ซึ่งอาจจะไม่มีอะไรผิดปกติ อาการจะหายไปได้เอง โดยไม่ต้องรับการรักษาแต่อย่างใด การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ ไม่มีปัญหาในชีวิตครอบครัว สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ท่านไม่มีปัญหาเรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

Link   https://www.108health.com

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โรคเกี่ยวกับเพศสัมพันธุ์

                   โรคหนองใน

         โรคหนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะที่บริเวณเยื่อเมือก
เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ท่อรังไข่ ทวารหนัก เยื่อบุตา เยื่อเมือกในลำคอ ปัจจุบันพบว่าความชุกของโรคหนองในลดลง เนื่องจากมีการใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้น จากการรณรงค์ให้ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae เชื้อ โรคเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุท่อปัสสาวะในผู้ชาย และทางปากมดลูกและท่อปัสสาวะของผู้หญิง ทำให้เกิดโรคโดยเชื้อแบคทีเรียเกาะจับเซลล์เยื่อบุชนิดที่ไม่มีขนโบก และสร้างสารพิษ lipopolysaccharide endotoxin รวมทั้งสร้างเอ็นไซม์ IgA proteases ทำให้ความสามารถในการก่อโรคเพิ่มมากขึ้น
ระยะฟักตัว 1 – 14 วัน แต่ ที่พบบ่อยคือ 3 – 5 วัน โรคหนองในติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอดหรือทางทวาร การร่วมเพศทางปากจะทำให้เชื้อสามารถติดต่อจากปากไปอวัยวะเพศ หรือจากอวัยวะเพศไปยังปาก หากช่องคลอดหรืออวัยวะดังกล่าวปนเปื้อนหนองที่มีเชื้อก็สามารถติดเชื้อนี้ ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการร่วมเพศ ถ้ามีคู่ขามาก ก็จะยิ่งมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้น การจับมือหรือการนั่งฝาโถส้วมไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
อาการ
  1. ผู้ชาย จะมีอาการปัสสาวะแสบและมีหนองไหล บางรายอาจมีอาการน้อย หรือ ถ้าเป็นมากอาจจะมีอาการแทรกซ้อนได้ มักจะเกิดอาการหลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-5 วัน อาการเริ่มแรกจะรู้สึกระคายเคืองท่อปัสสาวะ หลังจากนั้นจะมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ แล้วจึงตามด้วยมีหนองสีเหลืองไหลออกจากท่อปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด อัณฑะบวม หรือมีการอักเสบ
  2. ผู้หญิง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น เป็นหนองหรือมูกปนหนอง ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย อาจ มีอาการอักเสบที่ท่อปัสสาวะ ปากมดลูก ช่องทวารหนัก ถ้าเป็นมากจะมีอาการแทรกซ้อน เช่น เป็นฝีของต่อมบาร์โทลิน เชื้อโรคอาจลุกลามเข้าสู่โพรงมดลูก ปีกมดลูก ทำให้อุ้งเชิงกรานอักเสบ จนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการตั้งครรภ์นอกมดลูก หรืออาจเป็นหมันได้ ผู้หญิงที่ได้รับเชื้อนี้จะมีอาการช้ากว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยจะเกิดอาการหลัง ได้รับเชื้อแล้ว 1-3 สัปดาห์
นอกจากนี้ ทั้งชายและหญิงอาจติดโรคที่ลำคอหากมีการร่วมเพศทางปาก
สำหรับทารกแรกเกิด เชื้อ หนองในอาจเข้าตาทำให้ตาอักเสบ ขณะคลอดผ่านช่องคลอดมารดาที่มีเชื้อหนองในอยู่ เมื่อเชื้อหนองในเข้าตาเด็ก จะทำให้ตาอักเสบ ถ้าไม่รีบรักษาตาอาจบอดได้ ดังนั้น ทารกเกิดใหม่จะต้องได้รับการหยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะทุกราย เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ดวงตา
ถ้ามีการกระจายของเชื้อในกระแสเลือดจะ ทำให้เกิดการอักเสบของข้อ ที่พบบ่อยคือ ข้อบริเวณข้อมือ หรือเท้า อาจพบที่ข้อศอก หรือหัวเข่าได้ รอยโรคที่ผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการอักเสบที่เส้นเลือดของผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นตุ่มหนองอยู่บนฐานสีแดง กดเจ็บ มักพบที่บริเวณมือ เท้า และแขนขาส่วนปลาย
การติดเชื้อหนองในระหว่างตั้งครรภ์จะ จำกัดอยู่เฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ส่วนล่างได้แก่ บริเวณท่อปัสสาวะ บริเวณด้านข้างของท่อปัสสาวะ ต่อมบาร์โทลิน บริเวณปากช่องคลอด หรือบริเวณปากมดลูก หญิงตั้งครรภ์อาจพบว่ามีการติดเชื้อหนองในบริเวณคอหอยและทวารหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการมีพฤติกรรมทางเพศที่เปลี่ยนไปในระหว่างตั้งครรภ์ได้แก่ มีการร่วมเพศทางปากและทางทวารหนักเพิ่มขึ้น ดังนั้นในหญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อหนองในควร ทำการเพาะเชื้อหนองใน ตอนมาฝากครรภ์ครั้งแรก และอีกครั้งตอนอายุครรภ์ประมาณ 28 สัปดาห์
การวินิจฉัย
โรคหนองในสามารถให้การวินิจฉัยได้จากลักษณะประวัติอาการ การตรวจหนองด้วยการย้อมหาเชื้อ การเพาะเชื้อต้นเหตุ เทคนิใหม่ PCR สามารถตรวจได้ทั้งจากหนองและปัสสาวะ ทั้งนี้แพทย์จะตรวจหาโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อนในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ในผู้ชายอาเกิด ภาวะต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ ท่อปัสสาวะตีบ ทำให้ปัสสาวะไม่ออกและทำให้เป็นหมันได้ สำหรับผู้หญิง อาตเกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
ปวดประจำเดือน แท้ง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปากมดลูกอักเสบ
แนวทางการรักษา
  1. โรคหนองในรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ กลุ่ม Cephalosporin และ Quinolone อาจเป็นชนิดรับประทานหรือชนิดยาฉีด ยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Cefixime, Ceftriaxone, Ciprofloxacin, Ofloxacin, Levofloxacin เป็นต้น
  2. เนื่องจากเชื้อมีการดื้อยามากขึ้น จึงต้องรับประทานยาให้ครบ และตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำ
  3. ผู้ป่วยโรคหนองในแท้ มักจะมีหนองในเทียมร่วมด้วย จึงต้องรักษาพร้อมกันทั้งสองโรค
  4. ต้องนำหรือแนะนำให้คู่สามี-ภรรยา ไปตรวจรักษาด้วย
    Link   https://www.108health.com

อัพเดทล่าสุด