โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศ โรคเกี่ยวกับเพศสัมพันธุ์
เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อสาว สรีระร่างกายในทุกอณูของผู้หญิง ล้วนแต่ถูกกำหนดโดยฮอร์โมนเพศ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเลือดประจำเดือน...
การมีรอบเดือนของผู้หญิง เกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศจากรังไข่ให้สร้างเยื่อบุมดลูกขึ้นภายในผนัง มดลูก เพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่ที่มีการปฎิสนธิกับสเปิร์มกลายเป็นตัวอ่อน หรือรองรับการตั้งครรภ์ใดๆเกิดขึ้น เยื่อบุมดลูกที่ถูกสร้างเตรียมไว้ก็จะถูกขับให้หลุดลอกผ่านทางช่องคลอดออก มานอกร่างกาย โดยปกติกระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและเป็นประจำทุกๆ 28 วัน หรือหนึ่งรอบเดือนโดย
ประมาณ แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มีรอบเดือนมาไม่ปกติ หรือเวลาที่มีรอบเดือนมาแต่ละที สภาพร่างกายก็แทบจะรับไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวนซ้ำเติมขึ้นอีก สุขภาพที่แข็งแรงจะเกิดการแปรปรวนน้อยกว่า ผู้หญิงที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และมีภูมิต้านทานโรคสูง ในระยะก่อนหรือช่วงมีรอบเดือนมา จะมีอาการปวดเกร็งมดลูกน้อยกว่าผู้หญิงสภาพร่างกายอ่อนแอ ขาดสารอาหารหรือขาดการออกกำลังกาย ทั้งนี้ ราว 10 วัน ก่อนหน้าที่ประจำเดือนจะมาปริมาณแร่ธาตุต่างๆในร่างกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แคลเซียมและสังกะสีในเลือดจะค่อยๆลดน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันแร่ธาตุทองแดงกลับเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการคัดเต้านม ช่องท้องพองตัว ปวดศรีษะ นอนไม่หลับ จิตใจไม่สงบ บางรายมีอาการกระสับกระส่าย ซึมเศร้า หรือในบางครั้งก็ตื่นเต้นอย่างไม่มีเหตุผล น้ำหนักตัวเพิ่ม ภูมิต้านทานต่ำ และง่ายต่อการแพ้และติดเชื้อ ทางแก้และป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดอาการต่างๆดังกล่าวในระยะก่อนมีประจำเดือน จึงควรรับประทานอาหารที่ช่วยปรับให้ร่างกายเกิดความสมดุล นอกจากจะต้องหมั่นรับ
ประทานอาหารที่มีแคลเซียมและสังกะสีเพิ่มขึ้นแล้วก็ควร เพิ่มการรับประทานวิตามินซี เหล็ก แมกนีเซียมและวิตามินบีรวม ด้วย ลดอาการปวดเกร็งท้องด้วยวิตามินและแร่ธาตุ สำหรับอาการปวดเกร็งท้องเหมือนใครมาบิดไส้เป็นพักๆนั้นถือว่าเป็นอาการปกติ ที่ผู้หญิงกว่า 50% มักจะต้องเป็นกัน ซึ่งสาเหตุสำคัญของอาการปวดดังกล่าวเป็นผลมาจากพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ฮอร์โมนที่สร้างจากมดลูกสำแดงฤทธิ์เดชทำให้ผนังมดลูกมีการบีบตัวขณะที่มี ประจำเดือน อย่างไรก็ดีอาการเช่นนั้นสามารถ
ทำให้ลดลงได้ โดยต้องบำรุงร่างกายด้วยวิตามินบี 6 ไนอาซิน โพแทสเซียม และแมกนีเซียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 ซึ่งนอกจากจะช่วยลดอาการปวดเกร็งท้องแล้วยังช่วยให้อาการบวมน้ำลดลงด้วย แล้วถ้าหากรับประทานวิตามินเอ วิตามินบีรวม และโฟเลตเพิ่มเติม ก็จะยิ่งช่วยบรรเทาภาวะอารมณ์กดดันในช่วงเวลานั้นได้อีกด้วย ส่วนผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาบ้างไม่มาบ้างนั้นก็แก้ไขด้วยการรับ
ประทานวิตามินบีรวม วิตามินซี และธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น แล้วที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกาย ทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส และพยายามหลีกเลี่ยงจากความเครียดต่างๆก็จะช่วยปรับให้รอบเดือนมาตรงตามเวลา มากขึ้น นอกจากแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆแล้ว เราสามารถลดอาการปวดท้องเนื่องจากประจำเดือนได้โดยวิธีการดังนี้ 1. งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน และไม่รับประทานอาหารมากเกินไป หลีกเลี่ยง
อาหารรสจัด และอาหารที่อาจทำให้ระบบทางเดินอาหารปั่นป่วน ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมให้อาการปวดท้องประจำเดือนยิ่งปวดหนักขึ้น 2. ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์แล้ว ยังช่วยทำให้เลือดประจำเดือนไหลออกมาได้สะดวกขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข หรือฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปช่วยต้านความเจ็บปวดจากการบีบตัวของมดลูกได้เป็นอย่าง หากปวดท้องมากผิดปกติไม่ควรนิ่ง
นอนใจ ประมาณ 5-10% ของผู้หญิงทั่วไป มีอาการปวดท้องมากเกินปกติในทุกๆครั้งที่มีประจำเดือน ถึงขนาดที่ต้องรับประทานยาแก้ปวดในระหว่างที่มีรอบเดือนทุกครั้ง ถ้าเช่นนี้อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการมีประจำเดือนโดยไม่มีการตกไข่ เรียกเป็นภาษาทางการแพทย์ว่า อันโอวูลาทอรี ไซเคิล (Unovulatory Cycle) ก็เป็นได้ ซึ่งไม่ถือเป็นกรณีที่ร้ายแรงเพราะยังสามารถบรรเทาเยียวยาได้ด้วยยาแก้ปวด และต้องใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้น แต่สำหรับสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องมากผิด
ปกตินอกเหนือจากกรณีดัง กล่าวข้างต้น อาจเป็นกรณีที่เกิดจากโรคร้ายแรงบางอย่างซ่อนอยู่อย่างเช่น โรคเชิงกรานอักเสบ หรือ เอนโดเมทริโอซิส (Endometriosis) ซึ่งเกิดจากการมีเยื่อบุของมดลูกไปก่อตัวขึ้นอยู่ในบริเวณอื่น และถ้าหากมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของต่อไทรอยด์ผิดปกติเข้ามาสมทบด้วย นอกจากจะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องมากแล้ว ก็จะทำให้เกิดมีเลือดประจำเดือนมามากผิดปกติร่วมด้วย
ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาทจึงควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน มีเลือดออกกะปริดกะปรอยแบบไม่มีช่วงเวลาแน่นอน การมีเลือดออกกะปริดกะปรอย สำหรับผู้หญิงบางคน บางครั้งอาจเป็นเรื่องปกติซึ่งมักจะมีเลือดออกมาทุกครั้งประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนมีรอบเดือนแบบจริงจัง โดยสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจากการที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่ำ เกินไป แต่ถ้าหากการมีเลือดออกกะปริดกะปรอยดังกล่าวเกิดขึ้น
แบบไม่มีช่วงเวลาแน่นอน ในแต่ละเดือนเช่นนี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของฮอร์โมนแต่อาจมีสาเหตุ มาจากเนื้องอก ผังพืด หรือถึงขั้นมะเร็งของมดลูกก็เป็นได้ อาการเจ็บคัดเต้านมก่อนและขณะมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเพิ่มสูงขึ้นในกระแสเลือด ก่อนที่รอบเดือนจะมามักส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคัดเต้านมได้ และโดยปกติอาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อประจำเดือนมา หรือเมื่อหมดไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากคุณรู้สึกหงุดหงิดกับอาการเช่นนี้ ทางที่ดีก็ควรงดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ 1 สัปดาห์ก่อนจะมีรอบเดือน ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่ผสมกาเฟอีนและช็อคโกแลต นอกจากนี้การรับประทานวิตามินอี ก็อาจจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้ เพราะวิตามินชนิดนี้มีฤทธิ์ที่ช่วย
ต่อต้านเอสโตรเจน อย่างไรก็ตามหากาอาการเจ็บคัดเต้านม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน หากแต่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่นเป็นซีสต์ เนื้องอกเนื้อร้าย หรือเกิดจากการอักเสบของกระดูกซี่โครง เช่นนี้ควรรับปรึกษาแพทย์ทันที
Link https://www.108health.com
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ |
เป็นเวลานานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ตามปกติได้ ปัจจุบันนิยมเรียกว่า "โรคอีดี" (Erectile Dysfunction) ความ เครียด ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกิน ยาบางอย่างเช่น ยารักษาภาวะซึมเศร้า ยานอนหลับ อาจมีผลทำให้เกิดการเสื่อมสมรรภาพทางเพศได้ หนึ่งในเวชภัณฑ์ที่กำลังได้รับความสนใจมากที่สุดขณะนี้ คือ ยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากอวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเป็นที่พึงพอใจ อาการเช่นนี้มักเกิดอยู่เป็นประจำ หรือไม่ก็เป็นอย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างของอวัยวะเพศชาย
อวัยวะเพศของผู้ชายประกอบไปด้วยท่อสามท่อเหมือนฟองน้ำเรียกว่า corpus carvernosum สองท่อวิ่งขนานกับท่อปัสสาวะ อยู่ด้านบน และ corpus spongiosum 1 ท่อวิ่งอยู่ด้านล่าง เมื่อได้รับการกระตุ้นเลือดจะเข้าท่อฟองน้ำ ทำให้สามารถขยายได้มากถึง 7-9 เท่า ทำให้อวัยวะเพศใหญ่ขึ้น และ แข็งตัวเต็มที่ ตราบเท่าที่ยังมีการตื่นเต้นทางเพศ อวัยวะเพศก็ยังแข็งตัว แต่เมื่อมีการหลั่งเลือดออกจากอวัยวะเพศทำให้มีการอ่อนตัว
กลไกการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย
- หลอด เลือดแดงที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศต้องไม่ตีบ เพราะการที่อวัยวะเพศจะแข็งตัวต้องมีเลือดไปคั่ง หากมีหลอดเลือดแดงแข็งเลือดก็ไม่สามารถไปเลี้ยงได้อย่างเต็มที่ ภาวะที่ทำให้หลอดเลือดแข็งได้แก่ ผู้ที่สูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
- ระบบประสาทส่วนปลายซึ่งเป็นระบบที่จะรับความรู้สึกที่เกิดจากการสัมผัสทางร่างกาย
- ระบบไขสันหลังซึ่งเป็นระบบที่จะเชื่อมโยงการรับความรู้สึกจากประสาทส่วนปลายไปยังประสาทส่วนกลางและถ่ายทอดคำสั่งมายังองคชาติ
- ระบบประสาทส่วนกลางซึ่งประกอบด้วยสิ่งเร้าทั้งหลาย เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น รวมทั้งจิตนาการณ์และประสบการณ์ในอดีต
- สภาวะทางจิตใจ
สาเหตุ
- สำหรับสาเหตุทางกายที่พบได้แก่ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคระบบหัวใจ และการไหลเวียนของเลือด และผู้ที่สูงอายุ
- เบาหวานถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย และคนไข้ชายที่เป็นเบาหวานจำนวน มากมายก็ประสบปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ คนไข้เหล่านี้มักจะมีแนวโน้มในการเกิดปัญหานี้ในขณะอายุน้อยกว่าผู้ชายทั่วๆ ไปด้วย นอกจากนี้ ผู้ชายที่มีโรคเบาหวานจะมีโอกาสเกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศมากกว่า ผู้ชายทั่วไปถึง 4 เท่า
- การมีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหนึ่งของการที่หลอดเลือดเกิดการแข็ง และตีบตันได้ ทำให้โลหิตที่ไหลไปสู่องคชาติลดน้อยลง ทำ ให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ตามมา นอกจากนี้ยาหลายชนิดที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง อาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศด้วย
- โรคหัวใจ และการมีไขมันคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดสูง โรคหัวใจ และการมีโคเลสเตอรอลสูงอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของโลหิตไปที่องคชาติ ทำ ให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ผู้ชายที่มีโรคหัวใจจะมีโอกาสเกิดภาวะปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศมากกว่า ผู้ช่วยทั่วไปถึง 2 เท่า
- โรคซึมเศร้า ร่วมกับภาวะความเครียด กังวล กลัวความล้มเหลว อาจ มีส่วนทำให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ในขณะเดียวกันผู้ชายที่มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ เพราะสาเหตุทางกายภาพอาจรู้สึกซึมเศร้า เครียด และวิตกกังวล
- การผ่าตัดต่อมลูกหมาก อาจเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้โดยไม่ตั้งใจ โดยการทำให้เส้นประสาท และหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณใกล้ๆ ต่อมลูกหมากเสียหายส่งผลต่อการแข็งตัวขององคชาติ
- โรคไต และโรคพิษสุราเรื้อรัง
ภาวะ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายนี้ อาจเกิดขึ้นได้เป็นช่วงสั้นๆ ในผู้ชายทุกคน ซึ่งอาจจะไม่มีอะไรผิดปกติ อาการจะหายไปได้เอง โดยไม่ต้องรับการรักษาแต่อย่างใด การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ ไม่มีปัญหาในชีวิตครอบครัว สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ท่านไม่มีปัญหาเรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
Link https://www.108health.com
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โรคเกี่ยวกับเพศสัมพันธุ์
โรคหนองใน
โรคหนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะที่บริเวณเยื่อเมือก- ผู้ชาย จะมีอาการปัสสาวะแสบและมีหนองไหล บางรายอาจมีอาการน้อย หรือ ถ้าเป็นมากอาจจะมีอาการแทรกซ้อนได้ มักจะเกิดอาการหลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-5 วัน อาการเริ่มแรกจะรู้สึกระคายเคืองท่อปัสสาวะ หลังจากนั้นจะมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ แล้วจึงตามด้วยมีหนองสีเหลืองไหลออกจากท่อปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด อัณฑะบวม หรือมีการอักเสบ
- ผู้หญิง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น เป็นหนองหรือมูกปนหนอง ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย อาจ มีอาการอักเสบที่ท่อปัสสาวะ ปากมดลูก ช่องทวารหนัก ถ้าเป็นมากจะมีอาการแทรกซ้อน เช่น เป็นฝีของต่อมบาร์โทลิน เชื้อโรคอาจลุกลามเข้าสู่โพรงมดลูก ปีกมดลูก ทำให้อุ้งเชิงกรานอักเสบ จนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการตั้งครรภ์นอกมดลูก หรืออาจเป็นหมันได้ ผู้หญิงที่ได้รับเชื้อนี้จะมีอาการช้ากว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยจะเกิดอาการหลัง ได้รับเชื้อแล้ว 1-3 สัปดาห์
ปวดประจำเดือน แท้ง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปากมดลูกอักเสบ
- โรคหนองในรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ กลุ่ม Cephalosporin และ Quinolone อาจเป็นชนิดรับประทานหรือชนิดยาฉีด ยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Cefixime, Ceftriaxone, Ciprofloxacin, Ofloxacin, Levofloxacin เป็นต้น
- เนื่องจากเชื้อมีการดื้อยามากขึ้น จึงต้องรับประทานยาให้ครบ และตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำ
- ผู้ป่วยโรคหนองในแท้ มักจะมีหนองในเทียมร่วมด้วย จึงต้องรักษาพร้อมกันทั้งสองโรค
- ต้องนำหรือแนะนำให้คู่สามี-ภรรยา ไปตรวจรักษาด้วย
Link https://www.108health.com