อาหารชีวจิต คือ อาหารชีวจิตเพื่อสุขภาพ เมนูอาหารชีวจิต


11,850 ผู้ชม


อาหารชีวจิต คือ

อาหารชีวจิต เป็นอาหารที่เน้นความเป็นธรรมชาติ โดยมีการบริโภคพืชผักที่ปลูกตามธรรมชาติ ปลอดสารพิษ และสารเคมี ธัญพืชไม่ขัดสี เพื่อให้คุณค่าแก่ร่างกายและจิตใจ และลดสารพิษตกค้างในร่างกาย
ลักษณะของอาหารชีวจิต
คือ อาหารชั้นเดียว เป็นอาหารที่คงสภาพตามธรรมชาติเดิมไว้มากที่สุด ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งมากมาย และคงรสชาติเดิมๆของอาหารไว้มากที่สุด
หลักการอาหารชีวจิต
ชีวจิต มาจากคำว่า ชีว ร่วมกับ จิต
: ชีว หมายถึง ชีวิต ร่างกาย
: จิต หมายถึง จิตใจ
ชีวจิต หมายถึง ร่างกายและจิตใจ
ดังนั้น ชีวจิต คือ ร่างกายและจิตใจ จุดประสงค์ของชีวจิต คือ ความสุขสมบูรณ์ทั้งกายและใจ โดยการยึดเอา วิธีการปฏิบัติและความคิด ในแนวธรรมชาติเป็นหลัก
อาหารชีวจิต ประกอบไปด้วยอาหาร 4 กลุ่ม
1. ข้าว แป้ง ธัญพืช 50 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ โดยอาหารธัญพืชเป็นข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือซึ่งไม่ผ่านการขัดสีเพื่อให้ได้วิตามินและเกลือแร่
2. ผัก 25 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ ผักดิบและผักสุก อย่างละครึ่ง
ผักให้ วิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย
3. ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่ว 15 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่วให้โปรตีนที่มีคุณภาพดี ไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย จะใช้โปรตีนจากสัตว์เป็นครั้งคราวคือ ปลาและอาหารทะเล ได้ประมาณอาทิตย์ละ1ครั้งเพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็น
4. เบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ แกง หรือ ซุปจำพวกแกงจืด แกงเลียง หรือซุปใช้มิโซหรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นผสมในน้ำแกง และผลไม้ควรเป็นผลไม้เขียวไม่หวาน เช่น ฝรั่ง มะม่วงดิบ


อาหารชีวจิตเพื่อสุขภาพ

ผักกูด ผักพื้นบ้านเป็นผักที่ให้ผลผลิตตามฤดูกาล เป็นผักพื้นถิ่น ที่มีภูมิต้านทานสูง จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีเพื่อเร่งการเจริญเติบโตแต่อย่างใด ทั้งยังมีคุณค่าทางอาหารสูง ผักพื้นบ้านจึงสด ไม่มีสารพิษ เหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับคนรักสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ผักกูด ในผักกูด 1 ขีด มีเหล็กอยู่ 36 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 35 มิลลิกกรัม วิตามินซี 15 มิลลิกรัม และแคลเซียม 5 มิลลิกรัม ชาวใต้ หรือคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ล้วนรู้จักผักกูดดี เพราะเป็นผักที่หากินได้ง่าย ราคาไม่แพง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผักกูด เพราะหน้าตาเหมือนใบเฟิร์น กูดก็เป็นเฟิร์นชนิดหนึ่ง แต่เป็นเฟิร์นที่กินได้ รสจืดเจือหวาน และกรอบ นำมาทำอะไรก็อร่อย ทั้งผัด แกงส้ม ต้มจืด หรือต้มจิ้มน้ำพริก ผักกูดไม่ใช่มีเฉพาะภาคใต้ แต่ที่ภาคเหนือและภาคอีสานก็มี ถึงจะไม่อวบอ้วนงามเท่า แต่ก็กินอร่อยและมีคุณค่าอาหารเท่าเทียมกัน ผักกูดเป็นผักริมน้ำ ขึ้นเฉพาะริมห้วยหนองคลองบึงที่น้ำใสสะอาดเท่านั้น เพราะไวต่อน้ำสกปรกมาก ดังนั้นถ้าบริเวณไหนเห็นผักกูดขึ้นเป็นดงแน่น แสดงว่าแหล่งน้ำบริเวณนั้นสะอาด ไม่มีสารพิษ ผักกูดจึงเป็นผักที่ไม่มีสารพิษเจือปนแน่นอน กินผักกูดให้อร่อยต้องรอฝนลง ต้นหน้าฝนผักกูดจะแทงยอดงอกงาม ทั้งกรุบกรอบ ฉ่ำน้ำ และหวานมัน
ผักกูดราดกะทิ ผักกูดไม่นิยมกินดิบ แต่ถ้าอยากจะลิ้มรสความกรอบหวานของผักกูดแท้ๆ ต้องเป็นผักกูดต้มแล้วเอามาจิ้มน้ำพริก และถ้าจะให้ได้ความหวานมันเพิ่มขึ้นอีก ก็ต้องเป็น “ผักกูดราดกะทิ” วิธีทำ ตั้งน้ำให้เดือด ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย (เกลือจะทำให้ผักเขียวสด ไม่ดำ ดูน่ากิน) ใส่ผักกูดลงไป พอน้ำเดือดอีกครั้ง รีบตักขึ้น นำไปผ่านในน้ำเย็นเร็วๆ จะทำให้ผักคงความกรอบ จากนั้นใช้หัวกะทิราดผักให้ทั่ว
แกงส้มผักกูด
เครื่องปรุง
ผักกูดน้ำ                                3    กำ เด็ดเอาแต่ยอดและใบอ่อน
ปลาช่อน                               1    ตัว หั่นเป็นชิ้นๆ
น้ำพริกแกงส้ม                       3    ช้อนโต๊ะ
มะเขือเทศสีดา                      4     ลูก
น้ำมะขามเปียก                     2    ช้อนโต๊ะ
น้ำ                                        2     ถ้วย 
หอมแดงซอย                       4     ช้อนโต๊ะ
กระเทียมซอย                      2     ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้ซอย                           1     ช้อนโต๊ะ
กะปิ                                      1     ช้อนชา
เกลือป่น                               1      ช้อนชา
ปลาช่อนต้มแกะเอาแต่เนื้อ  ½      ถ้วย
น้ำปลา น้ำพริกแกงส้ม พริกแห้งสีแดงสดเม็ดใหญ่แกะเอาเมล็ดออก แช่น้ำไว้ 3 เม็ด 
วิธีทำ โขลก พริกแห้งกับเกลือจนละเอียด ใส่กระเทียม ตะไคร้ โขลกจนละเอียด ใส่หอม แดง กะปิ พอละเอียดดีแล้ว นำเนื้อปลาลงไปผสม โขลกเบาๆ ให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ต้มน้ำด้วยไฟแรงจนเดือดพล่าน ตักน้ำพริกแกงใส่ลงไป คนให้ทั่ว เดือดอีกครั้งใส่ยอดผักกูด กดเบาๆ ให้ผักจมในน้ำแกง พอน้ำแกงเดือดอีกครั้ง ใส่ปลา อย่าคน พอปลาสุกใส่มะเขือเทศสีดาผ่าซีก ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา เดือดอีกครั้งยกลง ผักเหลียง ผักพื้นบ้านของชาวภาคใต้ โดยเฉพาะประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ชุมพร บางท้องถิ่นเรียก ผักเหมียง หรือผักเขรียง เป็นไม้ยืนต้น ต้นไม่สูงมาก ใบเรียวยาว ผิวใบเป็นมันเลื่อม ส่วนที่กินคือใบอ่อน รสชาติหวานมันกรอบเจือขมอ่อนๆ ในตลาดสดจังหวัดภาคใต้ หาผักเหลียงได้ไม่ยาก ผักเหลียงมีมัดขายเป็นกำๆ ซื้อมากำสองกำราคาไม่กี่บาท ก็แกงได้หม้อโตแล้ว ในผักเหลียง 100 กรัม มีแคลเซียม 150 มิลลิกรัม และฟอสฟอรัส 224 มิลลิกรัม ไปได้กินผักเหลียงอร่อยที่สุดไม่นานมานี้เอง ในครัวญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งในสวนจังหวัดชุมพร ซึ่งมีทั้งผักเหลียงต้มกะปิ และผักเหลียงผัดไข่ 
ผักเหลียงต้มกะปิ
เครื่องปรุง
ผักเหลียงใบอ่อน           2     กำ
มะพร้าวขูด                    ½    กก.
หอมแดง                        3    หัว
พริกไทย                      10    เม็ด
กุ้งแห้ง                           2    ช้อนโต๊ะ
กะปิ                                1    ช้อนชา
วิธีทำ คั้นมะพร้าวให้ได้หัวกะทิ ½ ถ้วย และหางกะทิ 1 ถ้วย / โขลกพริกไทย หอมแดง กะปิ กุ้งแห้ง จนละเอียด / ตั้งกระทะ เทหัวกะทิลงไป คนจนเดือดแต่อย่าให้แตกมัน / ใส่เครื่องแกง ลงไปผัดจนหอม เทลงหม้อ เติมน้ำกะทิที่เหลือลงไป รอจนเดือด ใส่ผักเหลียง พอเดือด ยกลง
ผักเหลียงผัดไข่
วิธีทำ หั่นผักเหลียงเป็นชิ้นใหญ่ๆ ตั้งกระทะบนไฟแรงๆ พอร้อนจัด ใส่น้ำมัน เจียวกระเทียมพอหอม ต่อยไข่ใส่ลงไป คนให้ไข่แตกตัวสักพัก พอเริ่มแข็งตัว ใส่ผักเหลียงลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลทรายเล็กน้อย ดอกแค ปลายฝนต้นหนาว ยามเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง คนเฒ่าคนแก่มักถามหาดอกแค เพื่อเอามาแกงส้ม บอกว่าเพื่อป้องกัน “ไข้หัวลม” ซึ่งมักจะมาตอนเปลี่ยนฤดูจากฝนเป็นหนาว และทำให้เป็นหวัด เป็นไข้กันได้ง่ายๆ แคกินได้ทั้งยอดอ่อน ใบอ่อน และดอก ใบอ่อนรสหวานมัน นิยมต้มสุก แล้วราดหัวกะทิ จิ้มกับน้ำพริก ส่วนดอกแคมักจะนำมาแกงส้ม ให้รสหวานหอมออกขมนิดๆ ดอกแค 100 กรัม มีแคลเซียม 2 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม และวิตามินซี 35 มิลลิกรัม วิตามินซีนี่เองที่ทำให้ดอกแคป้องกันหวัดได้ ดอกแคใช่แต่ลงหม้อแกงส้ม หรือต้มจิ้มน้ำพริกเท่านั้น แต่ยังนำมาทำยำได้อร่อยนัก
ยำดอกแค
เครื่องปรุง
ดอกแคสีขาว ดึงเกสรออก       3    ถ้วย
หมูสับ                                     ½   ถ้วย
กุ้งแชบ๊วยแกะเปลือก เด็ดหัว ผ่าหลังชักขี้ออก ½ ถ้วย
พริกขี้หนูซอย                           1   ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย                          ¼   ถ้วย
น้ำปลา                                    2    ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย                            1   ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว                                 2    ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ ลวกดอกแคพอสุกในน้ำผสมเกลือ ตักขึ้นผ่านน้ำเย็น ใส่ตู้เย็นไว้ / รวนหมูสับและ กุ้งพอสุก / ผสมน้ำยำ โดยผสมน้ำปลา น้ำตาลและน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน ใส่พริกขี้หนู / เอาดอกแค ออกจากตู้เย็น ใส่หมูสับ กุ้ง ราดด้วยน้ำยำ หัวหอมซอย คนเบาๆ ให้เข้ากัน

เมนูอาหารชีวจิต
1.ยำสาหร่ายทะเลญี่ปุ่น

สาหร่ายทะเลเมนูอาหารทานง่าย และได้ประโยชน์จากสาหร่ายที่ร่างกายต้องการ 18 ชนิด แถมการทำก็ไม่ยุ่งยากด้วยค่ะ
ส่วนผสม
สาหร่ายทะเล       1     ถ้วย
ไข่กุ้ง                    1/4 ถ้วย
งาขาวคั่ว              1    ช้อนชา
ส่วนผสมน้ำยำ
น้ำส้มสายชู          2    ช้อนโต๊ะ
ซอสถั่วเหลือง      2    ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา               1    ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย        1     ช้อนชา
น้ำมันงาผสมพริก 1/4  ช้อนชา
วิธีทำ
  1. ล้างสาหร่ายให้สะอาด นำไปลวก บีบน้ำออกให้แห้ง และหั่นเป็นชิ้นบางๆ เตรียมไว้
2. ผสมส่วนผสมน้ำยำเข้าด้วยกัน คนให้เข้ากันจนกระทั่งน้ำตาลทรายละลาย
3. จากนั้นนำไปคลุกกับสาหร่ายที่หั่นเตรียมไว้ โรยด้วยงาขาวและไข่กุ้งให้ทั่ว นำไป แช่ตู้เย็นทิ้งไว้สักครู่ จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ รัปประทานขณะเย็น รสชาติจะอร่อยยิ่งขึ้น

 
2.ขนมจุ๋ยก๊วย
ที่ ยังหาซื้อได้แถวเยาวราช ลักษณะเป็นแป้งที่นำมาหนึ่งในถ้วยเล็กๆ หน้าจะเป็นรูบุ๋มตรงกลาง เวลาทานราดหน้าด้วยไชโป๊วผัดกับกระเทียม ราดน้ำจิ้มซีอิ๊วเปรี้ยว เค็ม หวาน เพิ่มรสเผ็ดด้วยน้ำส้มพริกตำ ปัจจุบันมีการใส่หมูสับ และเห็ดเพิ่มที่ตัวไส้โรยหน้าเพื่อรสชาดให้อร่อยยิ่งขึ้น
สูตรอาหารจุ๋ยก๊วย
วัตถุดิบจุ๋ยก๊วย
ตัวแป้ง
1. แป้งข้าวเจ้า 1 1/2 ถ้วย
2. แป้งท้าวยายม่อม 1/4 ถ้วย
3. แป้งมัน 1/4 ถ้วย
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. น้ำ 1 1/2 ถ้วย
ไส้โรยหน้า
6. กระเทียมสับ 1/2 ถ้วย
7. ไชโป๊วเค็มหรือหวาน (ล้างบีบน้ำทิ้ง 2-3 น้ำแล้วสับละเอียด) 1 ถ้วย
8. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
9. ซิอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
10. น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา
11. เกลือ 1 ช้อนชา
12. พริกไทย 1 ช้อนชา
น้ำราด
13. ซีอิ๊วดำเค็ม 1/2 ถ้วย
14. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
15. น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วย
16. น้ำ 1 ถ้วย
17. เกลือ 1/8 ช้อนชา
วิธีทำจุ๋ยก๊วย  
1. แป้ง - อ่างใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งท้าว แป้งมัน เกลือ เคล้าให้เข้ากัน เติมน้ำทีละน้อย แล้วนวด จนส่วนผสมให้เข้ากัน พักไว้ 4- 6 ชม. (หรือทิ้งไว้ 1 คืน ทำให้แป้งเหนียวหยุ่นตัว มีรอยบุ๋มตรงกลางกว้าง)  
2. เรียงถ้วยตะไลลงในลังถึง นึ่งถ้วยในน้ำเดือดให้ถ้วยร้อนจัด แล้วตักแป้งหยอดให้เต็มถ้วยตะไลปิดฝา นึ่งประมาณ 8 -10 นาที พอสุกตัวหน้าจะบุ๋มมีรูตรงกลาง พักไว้ให้เย็นตัวแล้วแกะออกจากพิมพ์ 
3. ไส้โรยหน้า – กะทะใส่น้ำมัน ตั้งไฟอ่อนถึงกลาง ใส่กระเทียม เจียวให้เหลืองหอม ใส่ไชโป๊วสับ ผัดสักพัก ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว ซีอิ๊วดำ น้ำตาล เกลือ ให้ออกรสเค็มและหวาน ผัดจนสุกและแห้งทั่วกันดี ตักใส่ภาชนะพักไว้  
4. น้ำราด – หม้อใส่น้ำ ซีอิ้วดำเค็ม น้ำส้มสายชูหมัก น้ำตาลทราย ตั้งไฟ ดูน้ำตาลละลายรอให้เดือด แล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็น

 3.เห็ดย่างราดตะไคร้ยำ

ส่วนผสม 

  1. เห็ดออรินจิดอกใหญ่ผ่าครึ่ง 5-6 ดอก
  2. ซอสคิโคเมน (เล็กน้อย) 
  3. น้ำปลา 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
  6. ตะไคร้ซอย 1 ถ้วย
  7. หอมเล็กซอย ? ถ้วย
  8. พริกขี้หนูซอย 2 เม็ด
  9. ใบสะระแหน่ 1/2 ถ้วย
  10. กุ้งแห้งโขลกละเอียด(เล็กน้อย)

วิธีทำ 

  1. หมักเห็ดออรินจิกับซอสคิโคเมน พักไว้สักครู่
  2. นำกระทะย่างตั้งไฟพอร้อน ย่างเห็ดจนสุก จัดใส่จาน
  3. ทำน้ำยำ โดยผสมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ เข้าด้วยกัน คนให้ละลาย ใส่ตะไคร้ หอมเล็ก พริกขี้หนู ใบสะระแหน่ เคล้าเบาๆให้เข้ากัน
  4. ราดน้ำยำลงบนเห็ดย่าง
  5. โรยกุ้งแห้งลงไป พร้อมเสิร์ฟ


อัพเดทล่าสุด