ปวดท้องกระเพาะ ทําไงดี ยาแก้ปวดท้องกระเพาะ
โรคกระเพาะอาหาร…ปวดท้องทำอย่างไร?
อาการปวดท้อง เป็นปัญหาที่พบบ่อย และอาจจะพูดได้ว่าทุกคนเคยปวดท้อง ส่วนใหญ่มักจะได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคกระเพาะอาหาร กินยาแล้วดีขึ้นบางคนก็หายขาดไป บางคนกลับมาปวดซ้ำ เป็น ๆ หายๆ ทำให้ สูญเสียค่ารักษาพยาบาล สูญเสียเวลาทำงาน
อาการปวดท้องมีส่าเหตุได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคตับอ่อนอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ และโรคกระเพาะอาหาร บทความนี้จะให้ความรู้เฉพาะที่เกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร
อาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหาร มีลักษณะการปวดหลายลักษณะ พอจะแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1. อาการปวดแบบจุกๆ แน่นๆ เรอแล้วดีขึ้น อิ่มแล้วจะเป็นมากบางครั้งกินอาหารมัน ๆ แล้วจะเป็นมากขึ้น อาการปวดแบบนี้ มักมีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารบีบและคลายตัวผิดปกติ
2. อาการปวดบริเวณลิ้นปี่ แบบแสบ ๆ เรอเปรี้ยว แสบขึ้นมาถึงช่องอกส่วนล่าง กลุ่มนี้มักเกิดกรด ในกระเพาะอาหารทะลักขึ้นมาทำลายเนื้อเยื้อบริเวณหลอดอาหาร
3. อาการปวดแบบแผลในกระเพาะอาหาร กลุ่มนี้มักจะมีลักษณะปวดแสบ หิวแล้วปวด อิ่มแล้วดีขึ้น
บางครั้งต้องตื่นกลางดึกเพราะมีอาการปวด
ดังนั้นหากท่านมีอาการปวดท้องเรื้อรัง มากกว่า 2 สัปดาห์ ขึ้นไป หรือปวดเป็น ๆ หาย ๆ ท่านควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการรักษาที่หายขาด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น กระเพาะอาหารตีบตัน ตกเลือด จากแผลกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารแตกทะลุ
นอกจากนี้ท่านควรจะต้องปฏิบัติตัวเพื่อให้อาการปวดท้องไม่กลับมาทรมารท่านได้อีก ดังนี้
1. เลิกการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้แผลในกระเพาะไม่หายและกลับเป็นซ้ำ
2. งดการดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ จะมีผลทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร
3. ไม่รับประทานยาชุด ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่พาราเซทตามอล ( PARACETAMAL) โดยไม่จำเป็น หากมี ความจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์เสมอ
ในปัจจุบันการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก โรคแผลในกระเพาะอาหาร มากกว่าครึ่ง มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อโรคที่อาศัยอยู่ในเยื่อเมือกที่กระเพาะอาหาร เชื้อโรคนี้มีชื่อว่า เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโรไล ( Helicobactor Pyroli ) หากไม่ได้ยาฆ่าเชื้อโรคดังกล่าว รักษาแผลหาย โรคก็จะกลับมาเป็นซ้ำอีก ดังนั้นหากมีอาการปวดท้องเรื้อรัง อย่าซื้อยากินเอง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมตามความจำเป็น ซึ่งจะนำมาสู่การรักษาที่ถูกต้อง ประหยัดเงิน และหายขาดได้
บทความโดย…นายแพทย์พิพัฒ พรหมลิขิตชัย กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลสระบุรี