นิ่วในไต สาเหตุ การรักษา การป้องกันไม่ให้เกิดโรคนิ่วในไต ได้อีก


2,635 ผู้ชม


นิ่วในไต สาเหตุ การรักษา การป้องกัน
คำจำกัดความ
นิ่วในไต (Kidney stones หรือ Nephrolithiasis) คือ การที่แร่ธาตุและกรดเกลือในปัสสาวะ มาสะสมรวมกันอยู่ในรูปของของแข็ง และอยู่ในไต ถ้าก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นมีขนาดเล็กมาก จะสามารถหลุดออกมานอกร่างกายได้เอง ผ่านทางน้ำปัสสาวะ คือ ผ่านจากไต ลงมาที่ท่อไต ต่อเนื่องลงมาจนถึงกระเพาะปัสสาวะ และผ่านทางท่อปัสสาวะออกมาด้านนอก แต่ถ้าก้อนนิ่วนั้นมีขนาดใหญ่มาก จะไปอุดกั้นอยู่ในท่อไต ไม่สามารถผ่านออกมาได้ จึงทำให้เกิดอาการของโรคนิ่วขึ้น
นิ่วในไต แบ่งได้หลายชนิด ตามส่วนประกอบหลักของก้อนนิ่ว ประกอบด้วย
    * Calcium stones : ส่วนประกอบหลักของก้อนนิ่วเป็นแคลเซียม
    * Struvite stones : ก้อนนิ่วเกิดจากสารยูเรียที่สร้างจากแบคทีเรีย ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
    * Uric acid stones : ส่วนประกอบหลักของก้อนนิ่วเป็นกรดยูริค
    * Cystine stones
อาการ
อาการของโรคนิ่วในไต เกิดจากก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่กว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อไต (ใหญ่กว่า 2-3 มิลลิเมตร) ทำให้ก้อนนิ่วเคลื่อนที่เข้าไปอุดอยู่ในท่อไต
อาการและอาการแสดงของโรคนิ่วในไต ประกอบด้วย
    * อาการปวดอย่างรุนแรงที่บริเวณสีข้างหรือใต้ชายโครง อาการปวดอาจร้าวไปที่ท้องน้อยส่วนล่างและขาหนีได้ ลักษณะอาการปวดเป็นแบบบีบๆ คลายๆ (เรียกว่า renal colic) อาการปวดจะมาเป็นช่วงๆ ส่วนใหญ่แต่ละครั้งปวดนานประมาณ 20-60 นาที อาการปวดนี้เกิดจากก้อนนิ่วไปอุดอยู่ในท่อไต ทำให้ท่อไตพยายามบีบตัวเพื่อขับเอาก้อนนิ่วออก
    * มีคลื่นไส้ และหรืออาเจียนร่วมด้วย
    * มีเลือดปนออกมาในน้ำปัสสาวะ ซึ่งอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า (ปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อหรือสีแดงสด) หรือมองเห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์ตอนส่งตรวจปัสสาวะ เกิดจากเยื่อบุผิวของทางเดินปัสสาวะถูกทำลายและหลุดลอกออก
    * เจ็บเวลาปัสสาวะ หรือปัสสาวะขัด : ส่วนใหญ่เกิดจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แต่บางรายเกิดจากมีก้อนนิ่วปนอยู่ในน้ำปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไม่คล่อง
    * ปัสสาวะมีก้อนกรวดปน
    * มีอาการปัสสาวะแสบ/ขัด/ขุ่น และหรือไข้ หนาวสั่น จากมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะแทรกซ้อน
สาเหตุ
นิ่วในไตไม่มีสาเหตุที่แน่นอน แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันที่ทำให้มีความไม่สมดุลของน้ำและสาร ต่างๆ ในน้ำปัสสาวะ (ความเป็นกรดด่างและแร่ธาตุต่างๆ) ทำให้เกิดการตกตะกอนเป็นนิ่วขึ้น
การวินิจฉัย
การซักประวัติ : ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์ด้วยอาการดังที่กล่าวมาแล้ว
การตรวจร่างกาย : ผู้ป่วยจะมีอาการปวดและเคาะเจ็บที่บริเวณสีข้าง
การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ : ประกอบด้วย
1. การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis) : จะพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะปริมาณมาก
2. การตรวจทางรังสีวินิจฉัย :
    * การตรวจเอ็กซเรย์ (Film KUB) : ในรายที่เป็นนิ่วทึบแสง (radio-opaque stone) เช่น มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก จะสามารถมองเห็นก้อนนิ่วได้จากการตรวจเอ็กซเรย์ โดยจะเห็นเป็นก้อนสีขาวอยู่ในตำแหน่งที่อยู่ในทางเดินปัสสาวะ แต่ถ้าก้อนนิ่วนั้นเป็นนิ่วไม่ทึบแสง (radiolucent stones) จะไม่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจวิธีนี้
    * การฉีดสีและตรวจทางเดินปัสสาวะด้วยเอ็กซเรย์ (IVP) : การตรวจนี้สามารถตรวจพบนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ทั้งนิ่วทึบแสงและนิ่วโปร่ง แสง การตรวจนี้ทำได้โดยการฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดดำ แล้วถ่ายภาพเอ็กซเรย์ซ้ำเป็นระยะ เพื่อดูการเคลื่อนที่ของสีไปในทางเดินปัสสาวะ
    * การตรวจอัลตราซาวน์ (ultrsound) : การตรวจนี้สามารถตรวจพบนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ทั้งนิ่วทึบแสงและนิ่วโปร่ง แสง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ดูการโป่งพองของไต (Hydronephrosis) และการโป่งขยายของท่อไต (Hydroureter) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของการที่ก้อนนิ่วอุดกั้นอยู่ในท่อไตนานๆ ข้อดีของการตรวจด้วยวิธีนี้ คือ ไม่ต้องเสี่ยงต่อการฉีดสีและสามารถใช้ตรวจในหญิงตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย (ไม่มีอันตรายจากรังสีเหมือนการตรวจด้วยเอ็กซเรย์)
    * การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) : เพื่อหานิ่วในไต
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามหลังภาวะนิ่วในไต คือ
    * การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (urinary tract infection)
    * ก้อนนิ่วอุดตันในท่อไต จนเกิดแรงดันย้อนกลับไปที่ส่วนต้นของทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดการโป่งพองของไต (Hydronephrosis) และการโป่งขยายของท่อไต (Hydroureter) ตามมา
    * ถ้ารักษาช้า แรงดันที่กระทำต่อไตนานๆ จะทำให้เกิดภาวะไตวายตามมาได้
การรักษาและยา
การรักษาโรคนิ่วในไต ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนนิ่ว คือ
1. การรักษานิ่วในไตในกรณีที่มีก้อนนิ่วมีขนาดเล็กและผู้ป่วยมีอาการแค่เล็กน้อย : นิ่วสามารถหลุดออกมากับปัสสาวะได้เอง การรักษาทำได้โดย
    * ดื่มน้ำมากๆ วันละประมาณ 2-3 ลิตร เพื่อที่จะช่วยเร่งการขับนิ่วออกมาทางปัสสาวะ
    * ให้ยาบรรเทาปวด
2. การรักษานิ่วที่มีขนาดใหญ่หรือผู้ป่วยมีอาการมาก : สามารถทำได้โดย
2.1 ใช้คลื่นเสียงเพื่อที่จะทำให้นิ่วแตกออกมา (Extracorporeal Shock Wave Lithotripsy, ESWL) : ทำได้โดยการใช้อัลตราซาวน์หรือเอ็กซเรย์หาตำแหน่งนิ่ว แล้วใช้คลื่นเสียงยิงสลายนิ่ว จากนั้นเศษนิ่วจะหลุดออกมากับปัสสาวะ
ข้อดีของวิธีนี้ คือ เจ็บตัวน้อยและไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
ข้อเสียของวิธีนี้ คือ ไม่สามารถรับรองผลการรักษาได้ เพราะนิ่วอาจหลุดไม่หมด ทำให้ต้องมายิงนิ่วซ้ำอีกหลายครั้ง
2.2 ใช้วิธีการส่องกล้องเพื่อนำนิ่วออก: ทำโดยการส่องกล้องเข้าไปในไตและใช้เครื่องมือทำให้นิ่วแตก จากนั้นก็คีบเศษนิ่วที่แตกออกมาทางเครื่องมือในกล้อง วิธีนี้สามารถทำได้ทั้งการส่องกล้องผ่านผิวหนัง (Percutaneous nephrolithotomy, PCN) และการส่องกล้องย้อนขึ้นมาจากทางท่อปัสสาวะ (Ureterorenoscopy)
ข้อดีของวิธีนี้ คือ เป็นหัตถการที่ไม่ค่อยดูรุนแรงต่อผู้ป่วย (minimal invasive) และอยู่โรงพยาบาลสั้นกว่าการผ่าตัด
ข้อเสียของวิธีนี้ คือ ต้องการแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะ, ต้องการเครื่องมือที่พิเศษ และใช้เวลาทำนานกว่าการผ่าตัด
2.3 การผ่าตัดเพื่อนำนิ่วออกจากไต (Nephrolithotomy) : ใช้ในกรณีที่นิ่วมีขนาดใหญ่และมีกิ่งก้านหลายกิ่ง (staghorn) ทำให้ไม่สามารถเอานิ่วออกได้ด้วยวิธีอื่น
2.4 การผ่าตัดเอาไตออก (Nephrectomy) : ใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย จะพิจารณาทำในกรณีที่เนื้อไตเสียไปมากหรือมีการอักเสบเป็นหนองเนื้อไต จนไม่สามารถเก็บไตไว้ได้
ที่มา  healthy.in.th

อัพเดทล่าสุด