| ส่งเสริมพัฒนาการลูกในครรภ์ คุณแม่สามารถส่งเสริม หรือเสริมสร้างพัฒนาการของลูกในครรภ์ได้โดย มีอารมณ์ที่มีควาาสุขแจ่มใส อารมณ์แม่มีผลโดยตรงต่อลูก ทั้งต่อการพัฒนาทางร่างกาย สมอง อารมณ์จิตใจของลูกในครรภ์ และมีผลสืบเนื่องเมื่อคลอดออกมา ในระยะใกล้คลอด แม่จะมีอารมณ์แปรปรวน มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างรวดเร็วและไม่มีเหตุผล มีความกังวลมากกว่าปกติ บางคนร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน จากความไม่มั่นใจของคุณแม่ในรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป จากเดิมเป็นอย่างมาก และที่สำคัญ คือการกลัวการคลอด และกังวลว่าจะเป็นแม่ไม่ได้ดีเท่าที่ควร ทางออก คือ แม่ต้องทำจิตใจให้สบายคลายความวิตกกังวลให้ได้ ไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ถ้ากลัวการคลอด กลัวการเลี้ยงลูก ให้พยายามหาความรู้ โดยการหาหนังสือมาอ่าน เข้าร่วมการอบรมสัมมนา คุยกับผู้ใหญ่หรือแพทย์ที่ดูแลครรภ์ ซึ่งจะทำให้รู้สึกว่าการคลอดและการเลี้ยงดูไมใช่เรื่องน่ากลัวเกินกว่าความ สามารถของคุณแม่เลย นอกจากนั้นควรทำกิจกรรมที่ทำให้แม่มีความสุข เช่น ฟังเพลง ไปเที่ยว ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ ที่ชอบ หรือดูภาพเด็กสวย ๆ งาม ๆ พักผ่อนให้พอเพียง การพักผ่อนที่เพียงพอจะทำให้ทั้งแม่ทั้งลูกสุขภาพแข็งแรง แม่มีอารมณ์แจ่มใส สดชื่น แต่ระยะ 3 เดือนสุดท้าย จะเป็นเดือนที่แม่นอนไม่ค่อยหลับเพราะลูกตัวโตขึ้น จนทำให้คุณแม่อึดอัด นอนท่าไหนก็ไม่ค่อยสบาย ยิ่งในรายที่กังวลมาก จะตื่นบ่อยเพราะฝันร้าย ฝันถึงการคลอดที่น่ากลัว ฝันถึงเรื่องร้าย ๆ ต่าง ๆถ้าคุณแม่นอนไม่ค่อยสบายตัว ให้ใช้ท่านอนตะแคงคล้ายท่ากอดหมอนข้าง คือ ขาข้างหนึ่งงอเข่า และอีกข้างเหยียดออก ช่วงกลางวันควรหาเวลานอนพัก ถ้าต้องทำงาน หลังจากทานอาหารเที่ยง ควรได้มีเวลางีบหลับสักเล็กน้อย ออกกำลังกาย ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ คุณแม่บางคนจะรู้สึกว่าตัวเองอุ้ยอ้าย เสียบุคคลิก ขาดความมั่นใจ การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ ผ่อนคลายความเครียดเลือดในร่างกายไหลเวียนได้ดีขึ้น ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นอกจากนั้นการออกกำลังกายจะมีผลต่อการหลั่งสาร 2 ชนิด ที่มีผลกับทารกโดยตรงคือ ฮอร์โมนอะดรีนาลิน จะหลั่งออกมาในช่วงต้นของการออกกำลังกาย และจะผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ ทำให้ทารกตื่นตัว และกระปรี้กระเปร่าขึ้น สาร เอ็นดอร์ฟิน หรือ 'สารความสุข' จะหลั่งออกมาในขณะออกกำลังกาย สารนี้มีคุณสมบัติช่วยให้คุณแม่มีความสุข และสารนี้จะส่งผ่านไปยังลูก ทำให้มีความสุขตั้งแต่อยู่ในครรภ์ สารนี้จะออกฤทธิ์นานกว่า 8 ชั่วโมงหลังออกกำลังกายแล้ว การออกกำลังกายโดยการเคลื่อนไหวเบา ๆ จะทำให้ทารกมีความสุขเหมือนอยู่ในเปลที่ไกวไปมา นอกจากนั้น ในระหว่างออกกำลังกาย การไหลเวียนของแม่จะอยู่ในภาวะสูงสุด ซึ่งจะทำให้ทารกในครรภ์เติบโตได้อย่างเต็มที่ การออกกำลังกายควรทำเป็นประจำทุกวันครั้งละเล็ก ๆน้อย ๆ แต่หลาย ๆครั้งจะดีกว่า หักโหมเพียงครั้งเดียว ควรเลือกการออกกำลังกายชนิกไม่หักโหม เช่น ว่ายน้ำ โยคะ เดินเล่น เต้นรำ และกายบริหาร แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายประเภท ที่ต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น ซิตอัป หรือการวิ่งจ๊อกกิ้ง ลูบหน้าท้อง การลูบสัมผัสลูกในครรภ์ผ่านทางหน้าท้องคุณแม่ จะช่วยให้เซลล์สมองส่วนรับความรู้สึก มีขนาดใหญ่ ขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพและความไวในการรับรู้ นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความผูกพันระหว่างแม่และลูก อีกทั้งเป็นการกล่อมเกลาให้ลูกมีอารมณ์ที่ดีหลังคลอด การลูบสัมผัสหน้าท้อง ทำได้โดยคุณแม่นั่งบนเก้าอี้โยก ทำใจให้สบาย วางมือบนหน้าท้อง วนมือเป็นวงกลม รอบสะดือ เบา ๆ หรือลูบไปตามทุกส่วนของตัวลูก พร้อมกับโยกเก้าอี้ เบา ๆ ช้า ๆ เป็นจังหวะ เสริมระบบการได้ยิน ทารกในครรภ์เริ่มได้ยินตั้งแต่เดือนที่ 5-6 เสียงที่ทารกได้ยินให้มีการพัฒนา ทำให้เซลล์สมองส่วนนี้มีขนาดใหญ่ขึ้น มีใยประสาทโยงใยมากขึ้น เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด ซึ่งการได้ยินเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ ทารกชอบฟังเสียงแม่มากที่สุด เป็นเสียงที่ลูกคุ้นเคยและต้องการเวลาพูดคุยกับลูก ควรใช้เสียงที่นุ่มนวล มีอารมณ์ความรู้สึกของความรักพูดคำซ้ำ อาจใช้ประโยคคำถาม และย้ำประโยคนั้นบ่อยเพื่อลูกจะได้ชิน มีความคุ้นเคย หรือจะเป็นเพลงเห่กล่อมก็ได้ ช่วงเวลาที่คุยกับลูกควรทำขณะลูกดิ้น ซึ่งแสดงว่าลูกตื่นอยู่ ถ้าจะเป็นเสียงดนตรี ควรเป็นเพลงเย็น ๆ เบา ๆ อาจให้เพลงบรรเลง ควรเป็นเพลงเย็น ๆ เบา ๆ อาจให้เพลงบรรเลงหรือเพลงคลาสสิก เพลงไทยเดิมเป็นประจำสม่ำเสมอ ใช้เวลา 10-15 นาที ก็พอ โดยคุณแม่วางวิทยุเทปเพลงไว้ข้างตัว เปิดฟังทั้งแม่ทั้งลูกพร้อมกัน ควรใช้เสียงดนตรีในคุณแม่ที่มีอายุ ครรภ์ 5 เดือน ขึ้นไป เปิดช่วงเย็น ๆ หรือหลังอาหารเย็น หนึ่งชั่วโมง ก็ได้ เพราะกลูโคสกำลังเดินทางไปเลี้ยงสมอง ลูกจะมีอารมณ์แจ่มใส ขอบคุณข้อมูลจาก Thaibaby.com[/size] |