การ รักษาโรคสะเก็ดเงินด้วยวิถีทางโภชนาการ ได้เคยลงพิมพ์ในนิตยสาร กัลปพฤกษ์ ฉบับที่ 6 ปรากฏว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ คุณเอกสิทธิ์ สารอักษร ผู้ป่วย เป็นโรคสะเก็ดเงินมากว่า 15 ปี หลังจากทำตามคำแนะนำที่ได้ให้ไป ผลปรากฏว่าอาการดีขึ้นมาก จึงขออนุญาตผู้ป่วยนำประวัติการรักษามาลงไว้พร้อมภาพถ่าย เพื่อเป็นแนวทางในการช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยท่านอื่นๆต่อไป
สะเก็ดเงิน ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ประชากรโลกเป็นกันมากถึงร้อยละ 1-3 ของประชากรทั้งหมด สูงมากจนน่าตกใจ องค์การอนามัยโลกกำหนดให้วันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปีเป็น วันสะเก็ดเงินโลก สำหรับสาเหตุของโรคยังวินิจฉัยได้ไม่ชัดเจน บ้างว่าเกิดจากพันธุกรรม แต่โดยส่วนใหญ่บอกว่าเกิดจากเซลล์ผิวหนังมีการแบ่งตัวผิดปกติ แพทย์แผนปัจจุบันจัดให้เป็น โรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาด และ ไม่ได้เกิดจากการรับประทานอาหาร อาหารไม่มีส่วนทำให้เกิดโรคแต่อย่างใด
สะเก็ด เงิน เป็นหนึ่งในโรคภูมิแพ้หรือภูมิเพี้ยนเป็นปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันของเราที่ เกิดขึ้นต่อสิ่งแปลกปลอมภายนอก สารแปลกปลอมเรียกว่าสารก่อภูมิแพ้ (ALLERGEN) ภูมิแพ้แบ่งออกเป็น 2 ระยะ
1) ระยะที่ไม่แสดงอาการแพ้ออกมาชัดเจน คือร่างกายเราสัมผัส, สูดดมหรือทานสารก่อภูมิแพ้เข้าไป ภูมิคุ้มของเราเริ่มทำงานว่ามีสิ่งแปลกปลอมว่าสารก่อภูมิแพ้เป็นอันตราย ร่างกายผลิตสารภูมิคุ้มกัน IGE (IMMUNOGLOBULIN-E) เข้าจัดการแต่ยังไม่เกิดอาการ
2) ระยะแสดงอาการเมื่อร่างกายสัมผัส,สูดดมหรือ ทานเข้าไปเป็นครั้งที่ 2 ร่างกายผลิต IGE จำนวนมากกำจัดสารก่อภูมิแพ้ออกให้หมด สารแอนตี้บอดี้จะกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิดมาสต์เซลล์ (MAST CELL) ปล่อยสารเคมีหลายชนิดรวมทั้งฮิสตามีน (HISTAMINE) ทำให้เกิดการอักเสบ คัน บวม แดง
แพทย์ แผนปัจจุบัน รักษาสะเก็ดเงินส่วนใหญ่ให้ยาแก้อักเสบที่มีส่วนผสมของสเตอร์รอยหรือไม่มี ทั้งแบบทานและทา(มีการฉายรังสี UV และเคมีบำบัดร่วมด้วย) เช่น เมโทรเท็กเซท, อันทราลิน, เดอโมเวท, LCD, TAR LOTION, เรตินอยด์ ทั้งหมดเป็นเพียงการรักษาอาการเฉพาะหน้าและระงับได้ชั่วคราวเท่านั้น
ส่วน แพทย์องค์รวมหรือแพทย์ทางเลือก มีการวินิจฉัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แพทย์องค์รวมวินิจฉัยว่า เป็นเพราะความบกพร่องจากการขาดความสมดุลของกรดไขมันในร่างกาย และเกิดจากอนุมูลอิสระ (OXIDATIVE STRESS OS) เป็นต้นเหตุของโรคแห่งความเสื่อม เป็นโรคที่ไม่พบตัวเชื้อ(โรคไม่ติดเชื้อ)
1. เพราะกรดไขมันที่เราบริโภคกันอยู่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย น้ำมันพืชที่ใช้เป็นน้ำมันผ่านกรรมวิธีหรือ RBD โดยส่วนใหญ่เป็นน้ำมันถั่วเหลือง ทานตะวัน, ข้าวโพด,ดอกคำฝอย,รำข้าว, ซึ่งมีกรดไขมัน Omega-6 สูง โดยปกติกรดไขมันที่มีความจำเป็นที่ร่างกายต้องการคือ Omega-6 และ Omega-3 ซึ่งควรมีสัดส่วนอยู่ที่ 2 ต่อ 1 คือ Omega-6 สองส่วนต่อ Omega-3 หนึ่งส่วน แต่ปัจจุบันอาหารแทบทุกชนิดใช้ Omega-6 เป็นส่วนใหญ่ ทำให้อัตราส่วนเป็น 20-40 ต่อ 1 ซึ่ง Omega-6 ที่สูงหรือมากเกินไปจะทำให้เกิดการอักเสบแก่ร่างกายได้ เพราะมีพรอสตาแกลนดิน ชนิดที่ทำให้เกิดการอักเสบสูงเกินไป
2. อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เช่น หมู เป็ด ไก่ วัว ปลา ส่วนใหญ่ใช้กากถั่วเหลือง ข้าวโพด ซึ่งมี Omega-6 สูง นำมาเป็นอาหารสัตว์ ทำให้เนื้อสัตว์ที่เรารับประทานส่วนใหญ่มี Omega-6 สูง เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเรามี Omega-6 สูงไปด้วย
3. เป็นเหตุจากอนุมูลอิสระเข้าไปทำปฏิกิริยาต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว (T CELL) ภูมิคุ้มกันของร่างกายวิเคราะห์เนื้อเยื่อปกติของร่างกายว่าเป็นศัตรู เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ากำจัดก่อให้เกิดการอักเสบ บวม แดง “ภูมิเพี้ยน ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง”(AUTO IMMUNE DISEASE) ไม่ว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่านวิเคราะห์ผิด,หรือทำงานเกินความพอดี ถ้าเกิดขึ้นอวัยวะส่วนไหนจะเรียกชื่อตามอวัยวะของโรคส่วนนั้น เช่น โรคSLE สะเก็ดเงิน, รูมาตอยด์, หอบหืด, แพ้อากาศ, ลมพิษ
ประวัติการป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินของ คุณเอกสิทธิ์ สารอักษร
ปี 2537
มี จุดแดงๆ คล้ายยุงกัดที่หน้าอก 5-6 จุด ไป รพ. แพทย์ปัญญา ให้คุณหมอตรวจ แจ้งว่าเป็นโรคผิวหนัง สะเก็ดเงิน ได้ให้ครีมตลับเล็กๆ กลับมาทา
จาก นั้นอีก 2 สัปดาห์ เริ่มมีผื่น เม็ดแดงๆ แตกมีน้ำใสๆ เกิดทั่วร่ายกายประมาณ 10% ของร่างกาย แผ่นหลัง แขนซ้าย , ขวา และหน้าอกเพิ่ม
หลัง จากนั้นมาแต่ละสัปดาห์ ก็จะมีผื่นแดงค่อยๆ ลุกลาม เพิ่มปริมาณทั่วร่างกาย จึงไปหาหมอผิวหนังที่ รพ.รามคำแหง หมอให้ยาครีมสีเหลืองอ่อนๆ มาทาทั่วร่างกาย รู้สึกว่านุ่มๆ ผิวไม่ตึงมีกลิ่นน้ำมันดิน และจะเปื้อนเสื้อผ้าซักออกยาก
ปี 2537-2538
อาการ ยังไม่ดีขึ้นจึงไปพบแพทย์ที่ รพ.เดชา หมอได้ให้ยาระงับเซลล์ เม็ดสีเหลืองๆ เล็กๆ กินอาทิตย์ละ 7 เม็ด กินแล้วมีอาการข้างเคียง คลื่นไส้ จะอาเจียน แต่ผื่นก็ยังคงเดิมทั่วร่างกายไม่มีท่าว่าจะลดลง เครียดมาก เพราะทำงานอยู่ด้วย
ปี 2538
มีคนแนะนำให้ไปหาหมอที่ รพ.พระประแดง หมอก็ให้ยา TAR LOTION และ TAR SHAMPOO และ LCD ซึ่งเป็นครีมทาทั่วร่างกาย ช่วยทำให้สะเกิดหลุดร่อน ตอนนั้นที่ศีรษะเริ่มมีเม็ดแดงๆ ขึ้นมีน้ำใสๆ มีอาการคันอย่างรุนแรงทรมานมาก
ปี 2539-2546
ไปหาหมอที่สถาบันโรคผิวหนัง ราชวิถี
ไปพบแพทย์ที่ รพ.ชลบุรี ได้รับยา LCD,TAR LOTION,TAR SHAMPOO และยาแก้คันเม็ดสีขาวเล็ก ANTRAX ยาเดอรโมเวท อาการตอนนั้นสะเก็ดหลุดลอกทั่วร่างกายๆ เป็นประมาณ 60% แล้ว ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามีความทรมานเป็นอย่างมาก และช่วงเวลาที่เป็น เข้าๆ ออกๆ สถาบันโรคผิวหนังได้รับยามาปริมาณมาก แต่ก็ไม่ดีขึ้น
ปี 2546-2548
ได้ ทานเห็ดหลินจือ (ชุดละ 3,000 กว่าบาท) กินแรกๆ จะกระทุ้งโรคออกมาทั่วร่างกาย และคืนสภาพบางส่วน อาการทรงๆ กินอยู่ประมาณ 2 ปีครึ่ง เลยหยุดกินเพราะราคาแพง จากนั้นอาการกลับมาเป็นหนักกว่าเดิม 80-90% ของร่างกาย ในระหว่างนี้ก็วนเวียนไปพบแพทย์ตามคลินิกต่างๆ แต่ก็ไม่มีผลตอบรับซักเท่าไร
ปี 2549
เกิดมีอาการขาบวม ทั้ง 2 ข้าง เดินไม่ได้ 1 เดือนเต็ม
ปี 2550 (มกราคม)
ต้องออกจากงาน ก่อนหน้านั้นในระหว่างปี 2537- มกราคม 2550 ยังทำงานอยู่ตลอดแม้ว่าจะเป็นหนักและทรุดอย่างมาก เคยถึงขนาดคิดสั้น แต่ก็ยังมีสติว่าต้องเข้มแข็ง ต้องอดทน ผมนอนร้องให้อยู่บ่อยครั้ง
ปี 2550 (กุมภาพันธ์)
คุณลุงได้แนะนำให้กินมังสวิรัติ กินอยู่ 1 ปี อาการดีขึ้น ขาที่บวมก็เริ่มดีขึ้น
ปี 2550 (ตุลาคม)
ได้ทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริม (ชุดละ 6,200 บาท) ทานอยู่ 4 ชุด อาการดีขึ้นบ้าง แต่พอหยุดทานก็เป็นอีก
ปี 2552 (ต้นเดือนเมษายน)
สรุปอาการก่อนรักษาด้วยโภชนาการ อาการที่เป็น ผิวหนังตึง หนักและอักเสบมาก
ใบหน้า - มีผื่นแดง เป็นผื่นหนามีขอบทั่วใบหน้า หน้าผาก แก้ม
ศีรษะ - มีรังแค ผื่นนูน
แผ่นหลัง - ผื่นนูนแดง มีขอบทั่วแผ่นหลัง
หน้าอก,ท้อง - ผื่นแดงทั่วไปหมด
ทั่วร่างกาย - ผิวแห้ง แตกเป็นลาย มีผื่นเป็นที่ๆ
มือขวา,มือซ้าย - ผิวมีผื่นหนามาก แดงระบม และเป็นสะเก็ด ผิวแข็งแห้ง
เท้า - มีผื่นหนาแดงเข้ม เป็นขอบนูน
หน้าแข้ง - มีผื่นหนาแดง เป็นขอบไปทั่ว
NOTE ไม่เคยฉายแสง , เคยฉีดยาที่โคนเล็บมือทั้ง 10 นิ้ว
(หมายเหตุ) ตลอดเวลาที่เป็นโรคนี้ 16 ปี จะต้องใส่แต่กางเกงขายาว,เสื้อแขนยาวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งร้อนและคันทรมานมาก
ปี 2552 8 เมษายน เริ่มรักษาด้วยวิถีทางโภชนาการ (สูตรการรักษา)
- การทำ OIL PULLING ช่วยลดปริมาณแบคทีเรียในช่องปาก อันเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ
- น้ำมันมะพร้าว + กระเทียม ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานอย่างสูง (กรดอัลฟ่าไลโปอิค)
- ข้าวกล้อง มีอิโนชิสตอล เป็นเลซิตินช่วยผิวหนังให้ยืดหยุ่น ไม่อักเสบ
- น้ำมันปลา มี OMAGA 3 ปรับสมดุล OMAGA 6 ลดการอักเสบ
- ขมิ้นชัน ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
- มะละกอ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีน
- ผักตำลึง + ใบบัวบก มีเอนไซม์ ย่อยแป้ง
- ผักสด + ผลไม้ ทานสด ๆ มีเอนไซม์เพิ่มพลังชีวิต
- พยายามหลีกเลี่ยง น้ำตาลทรายขาว , แป้งขาว , กาแฟ , แอลกอฮอล์
- ดื่มน้ำลดความร้อนในร่างกาย เช่น น้ำเก็กฮวย, หล่อฮั้งก้วย, จับเลี้ยง, น้ำใบบัวบก ไม่ใส่น้ำตาล หรือหวานน้อย
- หลีกเลี่ยงน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี (RBD) ทุกชนิด เช่นน้ำมันถั่วเหลือง , ทานตะวัน , รำข้าว , ข้าวโพด ฯลฯ
ปี 2552 (8 ถึง 16 เมษายน)
เห็นผลชัดเจน อาการดีขึ้น (ไม่มีทรุดลงหรือคงที่) อาการมีแต่ดีวันดีคืน อาการคันซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบลดลง อย่างเห็นได้ชัด
ปี 2552 (8 มิถุนายน)
เป็นเวลา 2 เดือนเต็มที่รักษาด้วยโภชนาการ
ใบหน้า - ดีขึ้น 90% แทบจะเป็นปกติ
แผ่นหลัง - ดีขึ้น 85% เป็นเนื้อเดียวกับผิว ไม่มีขอบ ไม่แดง
ส่วน ในบริเวณอื่นๆ จากที่เคยเป็นผื่นหนา มีขอบ ผิวแห้งตึง ก็มีอาการลดลง จากเคยแดงมากก็ออกสีชมพู ผิวหนามีขอบ ก็ลดลง ผื่นที่เป็นเริ่มกลืนเป็นเนื้อเดียวกับผิว อาการคันมากก็คันน้อยลง หรือไม่คันเลย
นอน หลับดีขึ้น ร่างกายพักผ่อนเต็มที่ ไม่เคยนึกเลยว่าอีกไม่นานจะได้กลับไปใช้ชีวิต มีงานมีการทำเหมือนคนอื่น มีครอบครัว มีเพื่อนฝูง สังคมไม่รังเกียจ ขอบคุณเป็นที่สุดกับสูตรน้ำมันมะพร้าวที่แสนมหัศจรรย์ ขอบคุณอย่างมากครับ
การรักษาโรค “สะเก็ดเงิน” ด้วยวิถีทางโภชนาการ (ฉบับสมบูรณ์)
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารรสหวาน,ผลไม้รสหวานมาก,เลี่ยงน้ำตาลฟอกขาว
- แป้งขาว เช่น ขนมปัง,เส้นก๋วยเตี๋ยว,บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป,ซาลาเปา,ปาท่องโก๋
- อาหารรสจัด,เค็มจัด,เผ็ดจัด,เปรี้ยวจัดและมีรสมันจัด
- อาหารที่มีกลูเตนสูง,ข้าวสาลี,ข้าวโอ๊ด,ข้าวบาร์เลย์,ข้าวไรน์
- แอลกอฮอล์,คาเฟอีน (ชา,กาแฟ) ของหมักดอง
- อาหารทะเล กุ้ง ปู และหอย (ควรงดเด็ดขาด)
- เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เช่น เนื้อวัว ให้เน้นทานเนื้อปลา
- ลดในสิ่งที่ตัวเองแพ้ เช่น น้ำผึ้ง,ข้าวโพด
- อาหารที่ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี น้ำมันถั่วเหลือง ทานตะวัน ข้าวโพด ดอกคำฝอย รำข้าว (น้ำมันพวกนี้มี OMEGA 6 สูงทำให้เกิดการอักเสบ) และไขมันทรานส์ (ตัวร้ายที่สุด)
- ผู้ป่วยราว 20 % จะแพ้อาหาร (NIGHT SHADE) เช่น มะเขือเทศ,มะเขือ,มันฝรั่ง,พริกไทย,พริกใบยาสูบ(บุหรี่),ถั่ว,ข้าวโพด,งา
- อาหารที่มีนมวัวผสม นมวัวมีโปรตีนเคซีน ร่างกายย่อยยาก
- หลีกเลี่ยงสารเคมีโดยการสัมผัส,สูดดม และงดทานอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรส,วัตถุกันเสีย
อาหารที่ควรรับประทาน
- น้ำมันมะพร้าว+กระเทียมเป็น SUPER ANTIOXIDANT ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานอย่างสูงเรียกว่ากรดอัลฟ่าไลไปอิด
ดูรายละเอียด - การดื่มน้ำให้ถูกต้องและพอสำหรับร่างกาย
คลิกเพื่อดูรายละเอียด - น้ำ เอนไซม์มี 2 ชนิด 1.ได้จากผักสด+ผลไม้ 2.น้ำหมักชีวภาพ ช่วยกำจัดสารพิษ และช่วยย่อยอาหาร (ผู้ป่วยภูมิแพ้หรือสะเก็ดเงินจะมีอาการกรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอ)
- ข้าวกล้อง มีอิโนซิตอส ลดการอักเสบ (เลี่ยงข้าวขาว)
- ผักตำลึง,ใบบัวบก,ย่านาง คั้นเป็นเครื่องดี่มมีฤทธิ์เย็นและมีเอนไซม์ย่อยแป้ง
- มะละกอดิบ มีเอนไซม์ย่อยโปรตีน
- ผักสด+ผลไม้ ทานสดมีเอนไซม์เพิ่มพลังชีวิต
- เน้นอาหารจากธรรมชาติ RAW FOOD ไม่ผ่านการปรุงแต่งหรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด
- วิตามินและเกลือแร่ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- อาหารที่ย่อยง่ายและเคี้ยวอาหารให้นานขึ้น
- สาหร่ายทะเลช่วยส่งเสริมการทำงานไทรอยด์ (เพิ่มภูมิต้านทาน)
วิธีการดูแลรักษา
วิธี การรักษาที่เขียนในบทความนี้เป็นวิธีที่ได้จากการรักษาจริง แล้วได้บอกต่อกับผู้ป่วยสะเก็ดเงินด้วยกัน ผลที่รักษาเป็นที่น่าพอใจ อาจเป็นช่องทางหนึ่งในหลายๆวิธีที่ผ่านการรักษาแผนปัจจุบันมาแล้ว
การรักษาแผลสะเก็ดเงินภายนอก(ผิว)ใช้อยู่ 2 วิธี
1) ใช้ยาทาผิวที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ 0.1% ใช้ไม่เกิน 10 วัน (ถ้ามากกว่านี้จะมีผลข้างเคียง ผิวหนังบาง ติดเชื้อง่าย ไหม้ มีสิว ระคายเคือง ผิวหนังแห้งแตก ต่อมใต้ผิวหนังอักเสบ สีดล้ำ และร่างกายจะขาดโปแตสเซียม) ทางเฉพาะบริเวณที่เป็นสะเก็ดเงินเท่านั้น ทาวันละ 2-3 ครั้ง หลังจากสะเก็ดเงินบางลงหยุดใช้
ถ้า ไม่ใช้สเตียรอยด์ทา ยังมียากลุ่มอื่นที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ แต่มีราคาแพง เช่น โปรโทปิค (PROTOPIC) ยาอิริเดล (ELIDEL) แทนได้ประสิทธิภาพเทียบเท่าสเตียรอยด์ ชนิดอ่อนและปานกลางเท่านั้น นับว่าเป็นทางเลือกได้อีกทางที่ช่วยระงับอาการคันได้
2) ใช้น้ำมันมะพร้าวทาผิวต่อเนื่อง ทาได้บ่อยๆ ผิวหนังจะชุ่มชื้นเข้าอาการสะเก็ดเงินจะควบคุมได้ดี และใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ทาได้ตลอด
การรักษาแผลสะเก็ดเงินด้วยโภชนาการและการปฏิบัติตอนเช้าและก่อนนอน
1) ตื่นเช้าทำ OIL PULLING 15-20 นาที
2) ตามด้วยการดื่มน้ำ 1-2 แก้ว
3) รับประทานสิ่งต่างๆเหล่านี้วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหาร
- น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ไม่แต่งกลิ่นสังเคราะห์ เพราะมีสารเคมี)
- กระเทียมสด หรือกระเทียมอัดเม็ด (อิมมิวนีท็อป 2000)
- เลซิติน (ไวทัล-เอ็ม)
- น้ำมันตับปลา
- บริวเวอร์ยีสต์
- ขมิ้นชัน
- N-ACETYLCYSTEIN (NAC LONG),(MUCIL)
- Evening Primrose Oil (EPO)
4) อาหารแต่ละมื้อให้ดูอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง และทานอาหารที่ควรรับประทาน อย่าลืมการดื่มน้ำที่ถูกต้อง
5) ออกกำลังกายอย่างน้อย 15 นาที อาทิตย์ละ 3 ครั้ง
6) พักผ่อนให้สบาย ฝึกมองโลกในแง่บวก จิตแจ่มใส ผ่อนคลาย
7) เพิ่มอาหารที่มีฤทธิ์เย็น เช่น ผักผลไม้, แตงกวา, ฟัก, ถั่วต้ม+เห็ดหูหนูขาว หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เย็น เช่น น้ำใบบัวบก, ย่านาง, เก็กฮวย, จับเลี้ยง, น้ำถั่วเขียว เพื่อดับร้อนในร่างกาย ดื่มแทนน้ำทุกวันจะดีมาก ไม่ใส่น้ำตาล หรือน้ำตาลน้อย