โอเมก้า 3 สำหรับเด็ก 1 ปีขึ้นไป ช่วยบำรุงสมอง และช่วยเรื่องระบบความจำและช่วยเสริมสร้างสมาธิในการเรียนรู้ ในเด็กเล็ก/ทารก -ช่วยเรื่องการสื่อสารที่ไม่ใช่เสียงพูด เช่น การใช้สายตา และแสดงท่าทาง Non-Verbal Communication - ช่วยกระตุ้นทักษะ ทางด้านการเล่น และ คลาน Playing & Crawling - ช่วยกระตุ้นการอยากทดลอง และค้นคว้า Cognitive Exploration & Experimentation สำหรับเด็กวัยหัดเดิน - ช่วยพัฒนาคำพูด/คำศัพท์ Speech & Vocabulary Development - ช่วยพัฒนาการทางด้านความเข้าใจและการใช้เหตุผล Understanding & Reasoning - พัฒนาการเรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาด และสีสัน Developing cognitive function including understanding shapes, colours, puzzles สำหรับเด็กก่อนวัยเรียน - ช่วยส่งเสริมการอ่าน, ระยะเวลาความเข้าใจ และการแก้ไขปัญหา School readiness including attention- span & Problem solving - ส่งเสริมความเข้าใจในเชิงตัวเลข และการใช้ภาษา Early Numeracy & Literacy - เพิ่มพัฒนาการทางด้านคำศัพท์และการตีความหมาย Growing Vocabulary & Comprehension
ประโยชน์โดยรวมของโอเมก้า 3 สำหรับเด็ก 1 ปีขึ้นไป *ช่วยบำรุงสมอง และระบบสายตา *ช่วยเรื่องระบบความจำและช่วยเสริมสร้างสมาธิในการเรียนรู้ *ช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้กับน้องค่ะ ซึ่งในเด็กเล็ก ๆ มักจะสนใจในสิ่งต่างๆ รอบตัว *ช่วยลดอาการก้าวร้าวในเด็กได้นะคะ อีกทั้งช่วยให้ลูกผ่อนคลาย ทำให้หลับได้ยาวขึ้นค่ะ ถ้าน้องๆ ได้รับโอเมก้า 3 เพียงพอ สมองได้รับการพัฒนาเต็มที่ ก้อจะทำให้มีสติปัญญาที่ดีค่ะ ทำให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างรวดเร็วๆ มีความจำที่ดีขึ้น Fish Oil 525 mg (Omega -3 300 mg = EPA 175 mg + DHA 125 mg) รสผลไม้หอม หวาน อร่อย |
มา ถึงตอนสุดท้ายในเรื่องน้ำมันปลาแล้วนะครับ เราจะมาดูความจริงทางโภชนาการและทางการแพทย์ที่มีการทดลองและวิจัยให้เห็น กันว่าน้ำมันปลามีสรรพคุณตามที่คุณได้พบเห็นจากโฆษณากันจริงหรือไม่ ผลข้างเคียงหากบริโภคมากเกินไปและคำแนะนำในการเลือกซื้อ ความเชื่อและความจริงของน้ำมันปลา ความเชื่อ น้ำมันปลาช่วยพัฒนาสมองในเด็ก ทำให้ลูกของคุณฉลาดขึ้น ความจริง DHA จะ ช่วยสร้างเสริมสร้างระบบเซลล์สมองและระบบประสาทเพื่อเพิ่มความสามารถในการ สื่อสารของเด็กทารกจนถึงอายุประมาณ 5 ปีเท่านั้น ในเรื่องของการช่วยความจำ จากการศึกษาแล้วพบว่ามันมีส่วนช่วยเรื่องให้มีความจำได้ดีในช่วงระยะเวลา สั้นๆเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สารวิเศษที่จะช่วยให้เกิดเด็กเกิดความฉลาดมากกว่าปกติ แต่อย่างใด การได้สารอาหารครบทุกหมู่และสร้างสภาพแวดล้อมให้เด็กได้เรียนรู้ จึงจะช่วยพัฒนาความสามารถในการคิดและใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมต่างหาก ความเชื่อ น้ำมันปลาช่วยลดไขมันในเลือด ความจริง การบริโภคน้ำมันปลาสม่ำเสมอในคนไข้กลุ่มทดลองจะช่วยไปลดระดับของไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ได้ระดับหนึ่ง แต่ผลสำหรับตัวไขมันอื่นๆ พบว่าการได้รับน้ำมันปลาไปช่วยเพิ่มระดับของ เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล (HDL Cholesterol) ซึ่งเป็นไขมันที่ดีได้เช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังมีผลไปเพิ่มไขมันตัวร้าย แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล (LDL) ให้ สูงตามมาด้วยนะซิ ดังนั้นการการกินน้ำมันปลาเดี่ยวๆจึงไม่ได้ส่งผลดีโดยรวมต่อเรื่องไขมันใน เลือดแต่อย่างใด ในคนไข้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง เรายังแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อควรใช้การรักษาด้วยวิธีอื่นๆเพื่อควบคุมอาการ โรคหัวใจและหลอดเลือดเสียก่อน แล้วหากจะใช้มันเพิ่มเป็นอาหารเสริมก็ควรเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ความเชื่อ น้ำมันปลาช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ความจริง โรค หลอดเลือดสมองประกอบ ไปด้วย 3 โรคหลักๆ ได้แก่ เส้นเลือดสมองตีบ แตกและอุดตัน การกินน้ำมันปลาอาจจะมีผลดีต่อการลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุด ตัน แต่ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแตกได้มากขึ้นเช่นกัน แพทย์ของคุณจะช่วยให้คำแนะนำว่าคุณควรกินหรือไม่และในปริมาณเท่าใด ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการกินน้ำมันปลา 1. การเกิดเลือดออก เนื่องจากน้ำมันปลาสามารถลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด จึงส่งผลดีในกรณีโรคหัวใจทำให้เลือดใสขึ้น แต่หากคุณเกิดมีบาดแผลขึ้น เลือดที่ใสจนเกินไปก็จะทำให้แผลหายได้ยากขึ้น และเกิดเลือดออกได้นานมากกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้นการได้รับน้ำมันปลาที่มี omega-3 มากเกินกว่า 3 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงในคนไข้ที่ระบบหลอดเลือดอ่อนแออยู่แล้ว ที่จะทำให้เกิดหลอดเลือดในสมองแตกได้ และการกินในปริมาณที่มากขึ้น อาจทำให้เกิดเลือดกำเดาได้ง่ายหรือมีเลือดออกปนออกมากับปัสสาวะได้ 2. ความดันโลหิตลดลง ผลต่อระบบเลือดที่กล่าวมาทั้งหมด หากคุณเป็นคนที่มีภาวะความดันต่ำอยู่แล้ว หรือได้รับยาลดความดันควบคู่ไปด้วย ต้องให้ความใส่ใจในผลที่ของน้ำมันปลาที่อาจทำให้เกิดภาวะความดันต่ำได้ 3. การได้รับสารพิษที่ตกค้างในปลา ในปัจจุบันในบางน่านน้ำทะเลจะมีสารพิษตกค้างอยู่ในปริมาณสูง ในปลาบางชนิดที่จับได้ในแหล่งเหล่านี้ จึงอาจมีการปนเปื้อนของสารพิษต่างๆ เช่น Dioxin, Methyl mercury และ polychlorinated biphenyl พอ คุณแม่ให้ลูกๆที่ยังเล็กๆที่ยังมีการพัฒนาระบบกำจัดของเสียยังไม่ดี อาจส่งผลให้เกิดการสะสมของสารพิษเหล่านี้ จนเด็กๆแสดงอาการออกมาได้ และหากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ได้รับสารพิษเหล่านี้ ก็จะส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้โดยตรง วิธีเลือกซื้อน้ำมันปลา 1. ควร เลือกแหล่งที่มาจากธรรมชาติเช่นผลิตจากปลาทะเล มีการตรวจสอบถึงความเข้มข้นของกรดไขมันที่เราต้องการ รวมทั้งปราศจากสารปนเปื้อนที่อาจติดมาด้วย 2. ในบางยี่ห้อจะระบุน้ำหนักเม็ดที่ใหญ่มากกว่าบางยี่ห้อ แต่เราอยากจะบอกว่าอย่าดูเพียงแค่น้ำหนักเม็ด ควรดูปริมาณของ DHA รวม EPA ที่มีอยู่อย่างแท้จริงต่อปริมาณเม็ดทั้งหมด ทั้งคู่ต้องมีมากกว่า 20% เช่น ในเม็ดหนึ่งหนัก 525 mg ต้องมี DHA 60mg และ EPA 80mg อย่าดูแค่ปริมาณรวมเท่านั้นนะครับ เพราะบางยี่ห้อบอกว่าหนักถึง 1000mg แต่มี DHA ปริมาณน้อยมาก ที่เหลือเป็นแค่แป้งและส่วนผสมที่นำมาตอกเป็นเม็ด 3. และในหนึ่งเม็ดควรจะมีสัดส่วนปริมาณของ DHA : EPA เป็น 1:2 หรือ 2:3 ที่เป็นส่วนผสมที่ออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 4. ถ้าเป็นไปได้ก่อนซื้อ ลองเปิดขวดดูก่อนว่ารูปแบบเม็ดควรเป็นแบบเม็ดเจลนิ่มๆ Soft gel ที่ ปิดสนิทที่จะช่วยปกป้องไม่ให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวข้างในให้เกิดการสลายตัว ระหว่างรอการใช้ ถ้าบรรจุในแคปซูลแข็งๆจะมีรอยรั่วตรงขอบเม็ด อากาศเข้าไปได้เกิดออกซิไดซ์หมด ทำให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวสลายตัวได้ง่ายทำให้ปริมาณกรดไขมันสำคัญลดลง 5. ในบางยี่ห้อ เขาอาจจะใส่วิตามิน E ผสมไปด้วย เพราะกรดไขมันไม่อิ่มตัวสลายตัวง่ายมาก ต้องมีวิตามิน E ช่วยทำหน้าที่เป็น Antioxidant ช่วยคงสภาพและปริมาณสาระสำคัญให้สูงสุดได้ ระหว่างรอการบริโภค จบ แล้วสำหรับน้ำมันปลา ในตอนต่อไปมีคนส่งเมล์มาถามเรื่องวิตามินซี เดี๋ยวผมจัดให้นะครับและหากทว่าคุณๆอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหาร เสริมและวิตามินต่างๆ สามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้จากเภสัชกรใจดีที่ร้านยาหรือที่โรงพยาบาลได้เลย ครับ พวกเราเภสัชกรยินดีและเต็มใจรับใช้พี่น้องครับ |
ที่มา www.thaishop.in.th และ www.oknation.net |