สุภาพสตรีที่มีอายุเลย 40 ปีไปแล้ว จะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ประจำเดือนที่เคยมีสม่ำเสมอ ตั้งแต่วัยรุ่นนั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นไม่แน่นอน ระยะห่างเนิ่นนานขึ้น หรือปริมาณลดน้อยลง จนในที่สุดไม่มาอีกเลย นั่นคือ วัยหมดประจำเดือน ซึ่งโดยเฉลี่ย สตรีไทยจะหมดประจำเดือนเมื่ออายุ 49 ปี ปัจจุบันสตรีวัยนี้ จะได้รับการกล่าวขานว่าเป็น สตรีวัยทอง อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หมดประจำเดือนการหมดประจำเดือน เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เกิดเนื่องจากรังไข่ไม่ผลิตฮอร์โมนเพศอีกต่อไป ฮอร์โมนเพศนี้มีชื่อว่า เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน อาการของภาวะหมดประจำเดือนแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเริ่มแรกช่วงใกล้หมดประจำเดือน หรือเพิ่งหมดประจำเดือนใหม่ๆ และระยะยาว หลังหมดประจำเดือนไปแล้ว ระยะแรกคืออาการที่เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจน เริ่มลดระดับลง ซึ่งมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ และอวัยวะอื่นๆ เช่น กระดูก หัวใจและหลอดเลือด สมอง ระบบประสาทอัตโนมัติ เต้านม ระบบทางเก็บปัสสาวะ ผิวหนัง เล็บและเส้นผม เมื่อฮอร์โมนลดระดับลง จึงทำให้เกิดอาการต่างๆ ดังต่อไปนี้
อาการต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่ว่า จะเกิดกับสตรีทุกคน ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ สิ่งแวดล้อม บางคนโชคดี ไม่มีอาการเลย แต่บางคนมีอาการเกือบครบทุกอย่างที่กล่าวมา ระยะเวลาที่เกิด บางคนอาจเกิดก่อนหมดประจำเดือนจริงๆ ถึง 5-6 ปี แต่บางคนก็เกิดในช่วงที่ใกล้หมดประจำเดือน ระยะยาวเมื่อหมดประจำเดือนแล้ว การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้มีผลดังนี้
จะทราบได้อย่างไรว่าเริ่มเข้าสู่วัยนี้แล้วสตรีอายุ 40 ปีขึ้นไป ที่มีอาการผิดปกติต่างๆ ดังที่กล่าวไว้ในตอนแรก ควรจะสงสัยว่า เริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว หรือสตรีที่แม้ไม่มีอาการอะไรเลย แต่ไม่มีประจำเดือนติดต่อกันนาน 1 ปี ก็ถือว่า หมดประจำเดือนแน่นอน ในกรณีที่ต้องการทราบผลแน่ชัด สามารถทราบได้โดยการเจาะเลือด หาระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และระดับฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง จะดูแลตนเองอย่างไรในวัยหมดประจำเดือนปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า วัยหมดประจำเดือน ไม่ใช่วัยเริ่มต้นสู่วัยชรา สตรีวัยนี้ ยังคงทำงานได้อย่างกระฉับ กระเฉง ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในที่ทำงาน และที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมดังที่เรียกขานวัยนี้ว่า วัยทอง ดังนั้น สตรีวัยทอง ควรจะศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งจากสื่อต่างๆ สิ่งพิมพ์ พูดคุยกับเพื่อน หรือปรึกษาแพทย์ทางนรีเวช และควรจะมีการปฏิบัติตัว ดังนี้
การให้ฮอร์โมนทดแทนมีประโยชน์อย่างไรการให้ฮอร์โมนทดแทน คือ การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน ชนิดสกัดจากธรรมชาติ เพื่อชดเชยเอสโตรเจนที่ลดระดับลงไป จึงช่วยบรรเทาอาการ ที่เกิดจากการหมดประจำเดือน ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว นั่นคือ บรรเทาอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออก เวียนศีรษะ ลดอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้การถ่ายปัสสาวะปกติ บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเมื่อย ช่วยปรับสภาพผิวหนัง และเส้นผม ป้องกันการเกิดโรคสมองเสื่อม กระดูกพรุน และโรคหัวใจขาดเลือดได้ การให้ฮอร์โมนทดแทนมีผลเสียหรือไม่นอกจากข้อดีของฮอร์โมนทดแทนแล้ว ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีข้อเสียอยู่บ้าง กล่าวคือ ถ้าใช้เป็นระยะเวลานานๆ จะกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว และอาจกลายเป็นมะเร็งได้ ถึงแม้ว่าจะพบน้อยก็ตาม ดังนั้น ในสตรีที่ยังมีมดลูกอยู่ แพทย์จะให้ฮอร์โมนทดแทน ในรูปแบบของเอสโตรเจนร่วมกับโปรเจสโตเจน ทั้งนี้เพราะ ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน จะต้านฤทธิ์ของเอสโตรเจน ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หนาตัว ส่วนเรื่องของมะเร็งเต้านมนั้น มีข้อขัดแย้งกันมากว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านมหรือไม่ แต่ปัจจุบันผลการศึกษาวิจัยมีแนวโน้มว่า การให้ฮอร์โมนทดแทน ไม่ทำให้อัตราการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สตรีที่ได้รับฮอร์โมนทดแทน ควรจะได้รับการดูแล อย่างสม่ำเสมอจากแพทย์ ไม่ควรไปซื้อยาเอง เพื่อแพทย์จะได้ให้การวินิจฉัย และรักษาแต่เนิ่นๆ เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น วัยทอง...วัยงามแห่งชีวิตปัจจุบัน อายุขัยของสตรีเพิ่มขึ้นจากอดีตมาก จากที่เคยดำรงชีวิตอยู่แค่ 50 ปี ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 70 กว่าปี ช่วงชีวิตในวัยหมดประจำเดือนจึงเพิ่มขึ้น การใช้ชีวิตในวัยดังกล่าวยาวนานขึ้น ถ้ามีการดำรงชีวิตที่ดี รับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกาย และพักผ่อนอย่างพอเพียง รวมทั้งการใช้ฮอร์โมนทดแทน จะทำให้คุณภาพชีวิตทั้งทางร่างกาย และจิตใจดี สมกับคำว่า วัยทอง วัยงามแห่งชีวิต | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ที่มา www.ram-hosp.co.th/books |