สุขภาพของสตรีวัยทองเป็นสิ่งสำคัญต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ!


1,199 ผู้ชม



คนเรานั้นมีวัยสวยใสเต่งตึง แต่เมื่อมาถึงวันหนึ่ง ก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติของสังขาร กระทั่งเข้าสู่วัยทอง .... วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน จะเรียกสตรีที่หมดประจำเดือนไม่น้อยกว่า 1 ปี และยังหมายความรวมไปถึง สตรีที่ผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง ช่วงอายุต่ำกว่า 40 ปีด้วย
การหมดประจำเดือนโดยเฉลี่ยมักจะเริ่มตั้งแต่ 50 ปี แต่บางรายก็หมดตั้งแต่ 40-45 ปี บางคนกว่าจะหมดก็นานถึง 55 ปี ก็มีนะครับ ปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 70 ปี ดังนั้นหลังจากหมดประจำเดือน จึงไม่ควรปล่อยปละละเลยการดูแลสุขภาพร่างกาย มีการตรวจสุขภาพร่างกาย การให้ฮอร์โมนเพศชดเชยแทนการผลิตฮอร์โมนของรังไข่ และการให้แคลเซียมเสริมเพื่อป้องกันกระดูกพรุน สภาพที่บ่งบอกวัยวุฒิของวัยทองได้ชัดเจนที่สุด คือ ผิวพรรณ ดังนั้นเมื่อสูงวัยขึ้นจนเข้าสู่วัยทอง จึงควรดูแลผิวพรรณตัวเองให้มีสุขภาพดี...

ปัจจัยที่มีผลต่อการเสื่อมสภาพของผิวหนัง
ปัจจัยที่มีผลต่อการเสื่อมสภาพของผิวหนัง เช่น แสงแดด การสูบบุหรี่ มลภาวะและสารเคมีต่างๆ และสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ อายุที่เพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่ออายุมากขึ้น จะทำให้ระบบฮอร์โมนเพศในร่างกายลดลง ซึ่งฮอร์โมนเพศมีส่วนช่วย ในการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิวหนัง รวมทั้งการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ ในผิวหนังชั้นที่เรียกว่าหนังแท้ เช่น คอลลาเจน และอีลาสติน ซึ่งสารดังกล่าวเป็นส่วนประกอบสำคัญ ในการให้ความยืดหยุ่น และความแข็งแรงแก่ผิวหนัง ดังนั้นในผู้ที่อายุมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เข้าสู่ภาวะวัยทอง ก็จะเริ่มเกิดปัญหาของผิวหนัง เช่น ผิวหนังบาง แห้งแตกง่าย ขาดความนุ่มชุ่มชื้น ขาดความยืดหยุ่น และมีรอยเหี่ยวย่น โดยความรุนแรงจะสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น ร่วมกับระยะเวลาของการขาดฮอร์โมนเพศ ซึ่งปัญหาของผิวหนังดังกล่าว อาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวล และขาดความมั่นใจในตนเองในการใช้ชีวิตประจำวัน
กลไกการกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง
ผิวหนังสามารถเก็บรักษาสมดุลระหว่างความชุ่มชื้น หรือน้ำในผิวหนังกับน้ำในสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย โดยเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดที่เรียกว่า ชั้นสตราตัมคอร์เนียม (stratum corneum) ซึ่งจะมีหน้าที่หลายอย่าง ไม่เพียงแต่การรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ยังช่วยป้องกันเชื้อโรค สารพิษในสิ่งแวดล้อม ครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวที่มีจำหน่ายนั้น ได้ถูกผลิตขึ้นจากการเลียนแบบกลไก การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังชั้นสตราตัมคอร์เนียมแทบทั้งนั้น ซึ่งความชุ่มชื้นของผิวหนังที่เหมาะสม หมายถึง ผิวหนังที่สามารถรักษาระดับน้ำให้คงอยู่ ในผิวหนังระหว่างเซลล์ผิวหนังกำพร้าได้อย่างสมดุล ทำให้ผิวหนังดูเนียนนุ่ม เรียบไม่เป็นขลุย

มอยส์เจอร์ไรเซอร์น่าใช้ในวัยทอง

ปัจจุบันวิทยาการความรู้เกี่ยวกับ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง ในสตรีวัยทองเจริญก้าวหน้าไปมาก เราพบว่าปัจจัยที่เป็นสาเหตุเสริมของการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ สารเคมีที่ระคายเคืองต่อผิวหนัง พันธุกรรม แสงแดด ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีเภสัชกรรม การผลิตเครื่องสำอางเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีการคิดค้นสารเคมีชนิดใหม่ๆ ในการนำมาบำรุงผิวพรรณ ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ชะลอการเกิดการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ซึ่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ก็เป็นอาหารผิวอันดับแรก ที่น่าเลือกใช้ดูแลผิวพรรณ ซึ่งแบ่งประเภทของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

 
ประเภทเคลือบผิวหนังปิดกั้นไม่ ให้น้ำซึมผ่าน (occlusive) ออกฤทธิ์ปิดกั้นการซึมผ่านของน้ำในผิวหนังออกสู่ภายนอก เมื่อทาบนผิวหนังจะคลุมผิวหนัง ทำหน้าที่คล้ายเกราะอ่อนๆ ป้องกันสารเคมีไม่ให้ระคายผิวหนัง การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ประเภทนี้ ต้องคำนึงถึงการล้างหรือฟอกด้วยสบู่ หรือการถู เช็ด ซึ่งจะทำให้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หลุดออกจากผิวหนังได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทาซ้ำหลายครั้งต่อวัน โดยความถี่ในการทา ขึ้นกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล คุณอาจสังเกตสารที่ระบุข้างขวด ได้แก่ lanolin, petroleum และ mineral oil เป็นต้น
 
ประเภทดูดน้ำให้ผิวหนัง (humectant) จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง โดยการจับน้ำจากบรรยากาศ และรักษาน้ำบนผิวหนังไว้ไม่ให้ระเหยไป สารกลุ่มนี้ได้แก่ lactic acid, urea, glycerol และ polyol ซึ่งอาจระคายผิวหนังทำให้รู้สึกคันยิบๆ เวลาทาบนผิวหนัง ควรระมัดระวังในผู้ที่มีการอักเสบของผิวหนังอยู่ คือควรรักษาอาการอักเสบให้หายก่อนค่อยทา
 
ประเภทป้องกันแสงแดด (sun block) มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีสารกันแดดผสมอยู่ จะช่วยป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตเอ และบี (UVA, UVB) ที่มาทำลายผิวหนังที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ตามธรรมชาติ ซึ่งคอยรักษาน้ำให้กับผิวหนังไป สารประเภทนี้ได้แก่ Titanium dioxide, Ocyl Methoxycinnamate, Ethylhexyl p-Methoxycinnamate เป็นต้น


เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะ

การเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์นั้น ไม่ใช่เลือกตามโฆษณาหรือของแถมนะครับ ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการด้วยกัน ได้แก่ ลักษณะผิวพรรณของตน ผู้ที่มีผิวมัน ควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีความมันน้อย ทราบได้ด้วยการทดลองทาบนผิว ตรงกันข้ามผู้ที่มีผิวแห้ง ก็ควรเลือกที่มีความมันมากหน่อย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกที่ทาแล้วรู้สึกสบาย ไม่เหนียวเหนอะหนะจนเกินไป
ฤดูกาล ฤดูหนาวควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ที่มีความมันมากกว่าฤดูฝนหรือฤดูร้อน กลิ่น เพราะมอยส์เจอร์ไรเซอร์มักมีน้ำหอมผสมอยู่ เพื่อให้น่าใช้ แต่ก็เป็นสาเหตุให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย ดังนั้น หากท่านเป็นผู้ที่มีความไวต่อสารเคมีหรือแพ้ง่าย ก็ควรเลี่ยงไปใช้แบบที่ไม่มีน้ำหอมแทน
ส่วนประกอบของสารเคมีที่นำมาผลิตเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ คุณควรอ่านฉลากตรงที่ระบุส่วนผสม (Ingredients) ด้วย โดยพิจารณาตามรายละเอียดที่กล่าวไปแล้วข้างต้น โดยหากต้องการมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีความมันมาก ก็เลือกที่มี occlusive มากหน่อย และหากต้องการให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นมากขึ้น ก็เลือกที่มี humectant เพิ่มขึ้น และหากต้องการสารกันแดด ก็ให้เลือกที่มีสารกันแดดผสมอยู่ ซึ่งโดยทั่วไปบริษัทผู้ผลิตจะผสมสารเคมี ที่มีคุณสมบัติหลายๆ อย่างในมอยส์เจอร์ไรเซอร์ของตน
การทดลองใช้ อันนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ท่านทราบว่ามอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดนั้นๆ ดีและเหมาะสมกับตัวเองเพียงไร จึงควรทดลองใช้ดูก่อน หากไม่มีให้ทดลอง ก็ให้ซื้อในขนาดบรรจุปริมาณน้อยๆ มาลองใช้ หากมีการแพ้จะได้ไม่ต้องเสียดายมาก ภาวะทางเศรษฐกิจ ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้ สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาร่วมด้วยอย่างยิ่งครับ ของดีที่เหมาะกับเราอาจไม่จำเป็นต้องแพงครับ
ดูแลรักษาผิวแแบอองค์รวม
การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวแล้ว ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่ทำให้ผิวดีนะครับ ผิวพรรณจะสวยงามดูสุขภาพดีได้ ก็ต่อเมื่อเจ้าของผิวรู้จักดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง มีการดูแลผิวแบบองค์รวม ได้แก่

 
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
 
พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
 
รู้จักจัดการกับความเครียดและทำใจให้เป็นสุข
 
รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
 
ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน
 
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ผิว แห้งกร้าน เช่น อยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ชอบอาบน้ำอุ่นหรือล้างมือบ่อยๆ ฟอกสบู่ด้วยสบู่ที่เป็นด่าง ออกแดดเป็นประจำ ทำกิจกรรมกลางแจ้งนานๆ
 
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเสื่อมต่อสุขภาพ เช่น การดื่มเหล้า และ การสูบบุหรี่

ลองไปปฏิบัติกันดูนะครับจะได้มีผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งกันทุกคน

ที่มา  www.yourhealthyguide.com

อัพเดทล่าสุด