สอนลูก เรื่องเพศ ต้องต่อเนื่องและคลายข้อสงสัย |
ระยะหลังเจ้าลูกชายสองคนของ ดิฉันเริ่มมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศมากขึ้นเรื่อยๆส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่อง ความอยากรู้อยากเห็นตามวัยของเขา แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกกระตุ้นโดยสื่อ โดยปกติ ครอบครัวของเราทำความเข้าใจเรื่องเพศมาตามสมควรเพราะเจ้าลูกชายก็มักมีคำถาม อะไรให้ครอบครัวของเราต้องขบคิดและพยายามตอบคำถามในระดับที่เชื่อว่าเขาจะ เข้าใจได้ง่ายและเหมาะกับวัยของเขา แต่ก็มีอีกหลายคำถามที่ต้องพยายามตอบให้ดีและคลายความสงสัยในระดับสำคัญ มิเช่นนั้นแล้วก็จะเจอปัญหาป้อนคำถามพ่อแม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อเพราะความสงสัยยังไม่ได้รับการคลี่คลาย “คุณแม่ครับ ทำไมอยู่ๆ ดูทีวีแล้วจู๋มันยาวขึ้นมา” นอกจากจะต้องซักไซ้กันว่าดูอะไร ก็ต้องพยายามอธิบายกันสุดฤทธิ์โชคดีหน่อย ที่คนข้างตัวทำหน้าที่พ่ออธิบายได้หมดจดชนิดตอบมากกว่าความสงสัยของลูกอีก ต่างหากสงสัยลูกอาจจะเลิกถามเรื่องนี้ไปอีกเลยทีเดียวเชียว “คุณแม่ครับ คนเรามีลูกอัณฑะสองอันใช่ไหมครับ ตอนแรกจับๆ ดูเหมือนมีอันเดียว แต่พอจับไปจับมา มันมีสองอันนี่น่า” “คุณแม่ครับ ต้นกล้าเข้าไปอยู่ในท้องคุณแม่ได้อย่างไร” “คุณแม่ครับ…..” ฯลฯ คำถามเหล่านี้เป็นธรรมดาของคนเป็นลูกที่คนเป็นพ่อแม่ทุกคนต้องเคยโดนลูกถาม คำถามทำนองนี้กันมาแล้วทั้งนั้นทีนี้ก็อยู่ที่ว่าคนเป็นพ่อแม่จะปล่อยให้ลูก ถามไปโดยไม่ตอบหรือพยายามเลี่ยงคำตอบ หรืออธิบายไปเลยก็สุดแท้แต่ละครอบครัวว่ามีทัศนคติต่อเรื่องเพศอย่างไรและ ให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้มากน้อยแค่ไหนที่จะบอกเล่าให้ลูกน้อยเข้าใจ สำหรับครอบครัวของเราซึ่งมีแต่ลูกชาย และถึงช่วงวัยที่เขาสนใจเรื่องเพศโดยเฉพาะสนใจเรื่องตัวเอง ทำให้ดิฉันได้เห็นพฤติกรรมประเภทจับจุ๊ดจู๋ตัวเองบ้าง จับของพี่หรือของน้องบ้าง เดี๋ยวสงสัยเดี๋ยวตั้งคำถามสารพัด ทำให้ดิฉันต้องพูดกับคนข้างตัวบ่อยๆเพื่อให้พ่อทำหน้าที่สลับกันพูดคุยบ้าง บางเรื่องก็ให้ผู้ชายคุย กัน ขณะที่บางเรื่องแม่จัดการเองโดยพยายามทำให้เรื่องเพศเป็นเรื่องปกติ บางครั้งเขาก็ถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆเราก็ต้องตอบ หรือบางครั้งเขาจินตนาการพันลึกเราก็ต้องพยายามอธิบายให้ลูกเข้าใจตามสภาพ ความเป็นจริง ที่สำคัญและได้ผลก็คือ เมื่อเขาคลายสงสัย เขาได้รับคำตอบเขาก็จะเลิกสนใจไปเอง มีงานวิจัย ชิ้นหนึ่งโดยสตีเว่น มาร์ติโน่นักพฤติกรรมศาสตร์แห่ง RAND Corporation บอกว่าการพูดคุยเรื่องเพศหรือเรื่องเซ็กส์กับลูกนั้น ควรจะต้องมีการพูดคุยอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่ใช่ว่าพูดกันจริงจังครั้ง เดียวแล้วเลิกไปเลยเพราะการได้พูดคุยเรื่องเซ็กส์กับลูก ให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องกับลูกนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมเกี่ยว กับเซ็กส์ที่ผิดๆ ของลูกได้ กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้เป็นเด็กวัยรุ่นจำนวน 312 ราย พร้อมด้วยพ่อและแม่ซึ่งต้องตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นและพฤติกรรมทาง เพศรวม 22 รายการ ผลวิจัยพบว่าหากเด็กและพ่อแม่มีการพูดคุยสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ และพูดย้ำๆบ่อยๆ นั้นเด็กก็จะเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับพ่อแม่และอยากที่จะคุยอย่างเปิดเผยใน เรื่องเซ็กส์และเรื่องอื่นๆ ด้วย ที่น่าสนใจคือในครอบครัวที่มีการพูดคุยเรื่องเซ็กส์อย่างเปิดเผยเด็กมีแนว โน้มที่จะมีประสบการณ์ทางเพศช้าลง มาร์ติโน่ย้ำว่า พ่อแม่ควรจะเริ่มต้นปูทางการพูดคุยเรื่องเซ็กส์กับลูกแต่เนิ่นๆตั้งแต่ยัง เล็กเพื่อให้เด็กรู้สึกไว้วางใจ เด็กๆจะเติบโตขึ้นและเริ่มมีประสบการณ์ด้านนี้พ่อแม่ย่อมต้องการให้ลูก รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะคุยเรื่องเซ็กส์กับพ่อแม่ เพราะหากลองถามเด็กๆ ว่าอยากได้ข้อมูลเรื่องนี้จากไหนส่วนใหญ่จะตอบว่าจากพ่อแม่มากกว่าคนอื่น สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาจจะลองใช้หนังสือ เป็นสื่อกลางก่อนรวมทั้งการดูทีวีหรือภาพยนตร์กับลูกซึ่งจะช่วยให้สามารถสอด แทรกคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ดูยัดเยียดจนเกินไป หรือไม่ก็ลองดูเทคนิคสอนลูกเรื่องเซ็กส์ 3 วิธีนี้ หนึ่ง– พ่อแม่ต้องสร้างทัศนคติเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องธรรมดาถ้าพ่อแม่มีทัศนคติใน เรื่องเพศที่ไม่ดี มองว่าเป็นเรื่องสัปดน ลามกเป็นเรื่องในที่ลับ น่าอายล่ะก็ยิ่งเท่ากับจะนำเอาทัศนคติเหล่านั้นเข้าไปใส่ในตัวลูกเองด้วย เรื่องทัศนคติของคนเป็นพ่อแม่สำคัญที่สุดที่ต้องพูดคุยกันอย่างเปิดอกกันเอง ก่อนแล้วค่อยตกลงกันว่าจะพูดคุยกับลูกอย่างไร แต่ต้องไปในทิศทางเดียวกันเพื่อไม่ให้ลูกสับสน สอง –ต้องพูดคุยกับลูกให้คลายสงสัย โดยดูวัยเป็นสำคัญอย่ามองว่าเรื่องนี้เป็นความลับ หรือเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดถึงเพราะจะยิ่งสร้างความสนใจ และความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มเข้าไปอีกแล้วพอลูกสงสัยแต่ไม่ได้รับคำตอบจาก พ่อแม่ เขาก็จะไปแสวงหาคำตอบนอกบ้านถึงวันนั้นเราจะต้องมานั่งเสียใจภาพหลัง วิธีพูดคุยกับลูกก็ขอให้เป็นไปตามธรรมชาติ อาจจะเริ่มจากหนังสือนิทาน ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีนิทานดีๆที่ใช้ในการสื่อถึงพัฒนาการของลูกน้อย หรือปรับพฤติกรรมลูกน้อยก็มีมากมาย สาม– สอนให้ลูกรู้จักอวัยวะของตัวเอง ซึ่งก็สามารถใช้สื่อนิทานได้เช่นกันเริ่มง่ายๆ จากให้เรียนรู้เรื่องอวัยวะของคนเราแล้วค่อยใส่เรื่องการดูแลรักษาความ สะอาด ในอวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายหรืออาจจะใช้ช่วงเวลาอาบน้ำให้ลูกให้สอนเรียก ชื่อของอวัยวะเพศเหมือนกับที่เราสอนลูกว่า นี่เรียกว่า ตา หูปาก จมูก จุ๊ดจู๋ หรือจิ๋มและควรจะสอนให้ลูกดูแลทำความสะอาดอวัยวะเพศเหมือนกับทำความสะอาด ส่วนอื่นๆของร่างกาย ทำให้ลูกรู้ว่าอวัยวะเพศนั้นมีคุณค่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอวัยวะส่วน อื่นๆ ของร่างกาย รวมถึงให้ลูกเข้าใจด้วยว่าสรีระร่างกายของลูกจะเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงช่วง เปลี่ยนผ่านในแต่ละวัย ซึ่งต้องสื่อสารให้เขารู้ว่าพ่อแม่ใส่ใจและเข้าใจทั้งจิตใจและร่างกายของลูก อย่างสม่ำเสมอ อย่าลืมว่าขณะลูกเล็ก การพูดคุยและปลูกฝังในเรื่องต่างๆเป็นไปได้ง่ายกว่าเมื่อลูกโต โดยเฉพาะเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่นวัยที่มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง เขาจะมีแนวโน้มติดเพื่อนเด็กที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ เมื่อเติบโตขึ้นแล้วเกิดคำถามหรือสงสัยเรื่องใด เขาจะหันไปปรึกษาหารือเพื่อนเป็นลำดับแรก ที่สำคัญยามที่เขาไม่ได้ถามพ่อแม่ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจเรื่องเพศตรงกันข้าม เขาจะสนใจเป็นอย่างมาก แต่เขาจะไปพยายามเรียนรู้ด้วยวิธีอื่นๆเช่น จากเพื่อน จากหนังสือลามก จากภาพยนตร์ แล้วอาจเข้าใจผิดได้ ในกรณีนี้พ่อแม่ต้องสังเกตและอาจจะกระตุ้นให้ถามคำถามเรื่องพวกนี้ในการพูดคุยกันในชีวิตประจำวัน เช่น เวลารับประทานอาหารร่วมกันเพื่อให้เด็กรู้ว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดแต่เป็นเรื่องที่ต้องรู้ เป็นเรื่องธรรมชาติ อ้อ..ที่ว่ามาทั้งหมด อย่าลืมเป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องเพศให้กับลูกด้วยละกันค่ะ |
ที่มา www.spiceday.com |
ระยะหลังเจ้าลูกชายสองคนของ ดิฉันเริ่มมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศมากขึ้นเรื่อยๆส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่อง ความอยากรู้อยากเห็นตามวัยของเขา แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกกระตุ้นโดยสื่อ
โดยปกติ ครอบครัวของเราทำความเข้าใจเรื่องเพศมาตามสมควรเพราะเจ้าลูกชายก็มักมีคำถาม อะไรให้ครอบครัวของเราต้องขบคิดและพยายามตอบคำถามในระดับที่เชื่อว่าเขาจะ เข้าใจได้ง่ายและเหมาะกับวัยของเขา
แต่ก็มีอีกหลายคำถามที่ต้องพยายามตอบให้ดีและคลายความสงสัยในระดับสำคัญ มิเช่นนั้นแล้วก็จะเจอปัญหาป้อนคำถามพ่อแม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อเพราะความสงสัยยังไม่ได้รับการคลี่คลาย
“คุณแม่ครับ ทำไมอยู่ๆ ดูทีวีแล้วจู๋มันยาวขึ้นมา”
นอกจากจะต้องซักไซ้กันว่าดูอะไร ก็ต้องพยายามอธิบายกันสุดฤทธิ์โชคดีหน่อย ที่คนข้างตัวทำหน้าที่พ่ออธิบายได้หมดจดชนิดตอบมากกว่าความสงสัยของลูกอีก ต่างหากสงสัยลูกอาจจะเลิกถามเรื่องนี้ไปอีกเลยทีเดียวเชียว
“คุณแม่ครับ คนเรามีลูกอัณฑะสองอันใช่ไหมครับ ตอนแรกจับๆ ดูเหมือนมีอันเดียว แต่พอจับไปจับมา มันมีสองอันนี่น่า”
“คุณแม่ครับ ต้นกล้าเข้าไปอยู่ในท้องคุณแม่ได้อย่างไร”
“คุณแม่ครับ…..” ฯลฯ
คำถามเหล่านี้เป็นธรรมดาของคนเป็นลูกที่คนเป็นพ่อแม่ทุกคนต้องเคยโดนลูกถาม คำถามทำนองนี้กันมาแล้วทั้งนั้นทีนี้ก็อยู่ที่ว่าคนเป็นพ่อแม่จะปล่อยให้ลูก ถามไปโดยไม่ตอบหรือพยายามเลี่ยงคำตอบ หรืออธิบายไปเลยก็สุดแท้แต่ละครอบครัวว่ามีทัศนคติต่อเรื่องเพศอย่างไรและ ให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้มากน้อยแค่ไหนที่จะบอกเล่าให้ลูกน้อยเข้าใจ
สำหรับครอบครัวของเราซึ่งมีแต่ลูกชาย และถึงช่วงวัยที่เขาสนใจเรื่องเพศโดยเฉพาะสนใจเรื่องตัวเอง ทำให้ดิฉันได้เห็นพฤติกรรมประเภทจับจุ๊ดจู๋ตัวเองบ้าง จับของพี่หรือของน้องบ้าง เดี๋ยวสงสัยเดี๋ยวตั้งคำถามสารพัด ทำให้ดิฉันต้องพูดกับคนข้างตัวบ่อยๆเพื่อให้พ่อทำหน้าที่สลับกันพูดคุยบ้าง
บางเรื่องก็ให้ผู้ชายคุย กัน ขณะที่บางเรื่องแม่จัดการเองโดยพยายามทำให้เรื่องเพศเป็นเรื่องปกติ บางครั้งเขาก็ถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆเราก็ต้องตอบ หรือบางครั้งเขาจินตนาการพันลึกเราก็ต้องพยายามอธิบายให้ลูกเข้าใจตามสภาพ ความเป็นจริง
ที่สำคัญและได้ผลก็คือ เมื่อเขาคลายสงสัย เขาได้รับคำตอบเขาก็จะเลิกสนใจไปเอง มีงานวิจัย ชิ้นหนึ่งโดยสตีเว่น มาร์ติโน่นักพฤติกรรมศาสตร์แห่ง RAND Corporation บอกว่าการพูดคุยเรื่องเพศหรือเรื่องเซ็กส์กับลูกนั้น ควรจะต้องมีการพูดคุยอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่ใช่ว่าพูดกันจริงจังครั้ง เดียวแล้วเลิกไปเลยเพราะการได้พูดคุยเรื่องเซ็กส์กับลูก ให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องกับลูกนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมเกี่ยว กับเซ็กส์ที่ผิดๆ ของลูกได้
กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้เป็นเด็กวัยรุ่นจำนวน 312 ราย พร้อมด้วยพ่อและแม่ซึ่งต้องตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นและพฤติกรรมทาง เพศรวม 22 รายการ
ผลวิจัยพบว่าหากเด็กและพ่อแม่มีการพูดคุยสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ และพูดย้ำๆบ่อยๆ นั้นเด็กก็จะเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับพ่อแม่และอยากที่จะคุยอย่างเปิดเผยใน เรื่องเซ็กส์และเรื่องอื่นๆ ด้วย ที่น่าสนใจคือในครอบครัวที่มีการพูดคุยเรื่องเซ็กส์อย่างเปิดเผยเด็กมีแนว โน้มที่จะมีประสบการณ์ทางเพศช้าลง
มาร์ติโน่ย้ำว่า พ่อแม่ควรจะเริ่มต้นปูทางการพูดคุยเรื่องเซ็กส์กับลูกแต่เนิ่นๆตั้งแต่ยัง เล็กเพื่อให้เด็กรู้สึกไว้วางใจ เด็กๆจะเติบโตขึ้นและเริ่มมีประสบการณ์ด้านนี้พ่อแม่ย่อมต้องการให้ลูก รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะคุยเรื่องเซ็กส์กับพ่อแม่ เพราะหากลองถามเด็กๆ ว่าอยากได้ข้อมูลเรื่องนี้จากไหนส่วนใหญ่จะตอบว่าจากพ่อแม่มากกว่าคนอื่น
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาจจะลองใช้หนังสือ เป็นสื่อกลางก่อนรวมทั้งการดูทีวีหรือภาพยนตร์กับลูกซึ่งจะช่วยให้สามารถสอด แทรกคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ดูยัดเยียดจนเกินไป
หรือไม่ก็ลองดูเทคนิคสอนลูกเรื่องเซ็กส์ 3 วิธีนี้
หนึ่ง– พ่อแม่ต้องสร้างทัศนคติเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องธรรมดาถ้าพ่อแม่มีทัศนคติใน เรื่องเพศที่ไม่ดี มองว่าเป็นเรื่องสัปดน ลามกเป็นเรื่องในที่ลับ น่าอายล่ะก็ยิ่งเท่ากับจะนำเอาทัศนคติเหล่านั้นเข้าไปใส่ในตัวลูกเองด้วย เรื่องทัศนคติของคนเป็นพ่อแม่สำคัญที่สุดที่ต้องพูดคุยกันอย่างเปิดอกกันเอง ก่อนแล้วค่อยตกลงกันว่าจะพูดคุยกับลูกอย่างไร แต่ต้องไปในทิศทางเดียวกันเพื่อไม่ให้ลูกสับสน
สอง –ต้องพูดคุยกับลูกให้คลายสงสัย โดยดูวัยเป็นสำคัญอย่ามองว่าเรื่องนี้เป็นความลับ หรือเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดถึงเพราะจะยิ่งสร้างความสนใจ และความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มเข้าไปอีกแล้วพอลูกสงสัยแต่ไม่ได้รับคำตอบจาก พ่อแม่ เขาก็จะไปแสวงหาคำตอบนอกบ้านถึงวันนั้นเราจะต้องมานั่งเสียใจภาพหลัง
วิธีพูดคุยกับลูกก็ขอให้เป็นไปตามธรรมชาติ อาจจะเริ่มจากหนังสือนิทาน ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีนิทานดีๆที่ใช้ในการสื่อถึงพัฒนาการของลูกน้อย หรือปรับพฤติกรรมลูกน้อยก็มีมากมาย
สาม– สอนให้ลูกรู้จักอวัยวะของตัวเอง ซึ่งก็สามารถใช้สื่อนิทานได้เช่นกันเริ่มง่ายๆ จากให้เรียนรู้เรื่องอวัยวะของคนเราแล้วค่อยใส่เรื่องการดูแลรักษาความ สะอาด ในอวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายหรืออาจจะใช้ช่วงเวลาอาบน้ำให้ลูกให้สอนเรียก ชื่อของอวัยวะเพศเหมือนกับที่เราสอนลูกว่า นี่เรียกว่า ตา หูปาก จมูก จุ๊ดจู๋ หรือจิ๋มและควรจะสอนให้ลูกดูแลทำความสะอาดอวัยวะเพศเหมือนกับทำความสะอาด ส่วนอื่นๆของร่างกาย ทำให้ลูกรู้ว่าอวัยวะเพศนั้นมีคุณค่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอวัยวะส่วน อื่นๆ ของร่างกาย
รวมถึงให้ลูกเข้าใจด้วยว่าสรีระร่างกายของลูกจะเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงช่วง เปลี่ยนผ่านในแต่ละวัย ซึ่งต้องสื่อสารให้เขารู้ว่าพ่อแม่ใส่ใจและเข้าใจทั้งจิตใจและร่างกายของลูก อย่างสม่ำเสมอ
อย่าลืมว่าขณะลูกเล็ก การพูดคุยและปลูกฝังในเรื่องต่างๆเป็นไปได้ง่ายกว่าเมื่อลูกโต โดยเฉพาะเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่นวัยที่มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง เขาจะมีแนวโน้มติดเพื่อนเด็กที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ เมื่อเติบโตขึ้นแล้วเกิดคำถามหรือสงสัยเรื่องใด เขาจะหันไปปรึกษาหารือเพื่อนเป็นลำดับแรก
ที่สำคัญยามที่เขาไม่ได้ถามพ่อแม่ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจเรื่องเพศตรงกันข้าม เขาจะสนใจเป็นอย่างมาก แต่เขาจะไปพยายามเรียนรู้ด้วยวิธีอื่นๆเช่น จากเพื่อน จากหนังสือลามก จากภาพยนตร์ แล้วอาจเข้าใจผิดได้
ในกรณีนี้พ่อแม่ต้องสังเกตและอาจจะกระตุ้นให้ถามคำถามเรื่องพวกนี้ในการพูดคุยกันในชีวิตประจำวัน เช่น เวลารับประทานอาหารร่วมกันเพื่อให้เด็กรู้ว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดแต่เป็นเรื่องที่ต้องรู้ เป็นเรื่องธรรมชาติ
อ้อ..ที่ว่ามาทั้งหมด อย่าลืมเป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องเพศให้กับลูกด้วยละกันค่ะ
โดยปกติ ครอบครัวของเราทำความเข้าใจเรื่องเพศมาตามสมควรเพราะเจ้าลูกชายก็มักมีคำถาม อะไรให้ครอบครัวของเราต้องขบคิดและพยายามตอบคำถามในระดับที่เชื่อว่าเขาจะ เข้าใจได้ง่ายและเหมาะกับวัยของเขา
แต่ก็มีอีกหลายคำถามที่ต้องพยายามตอบให้ดีและคลายความสงสัยในระดับสำคัญ มิเช่นนั้นแล้วก็จะเจอปัญหาป้อนคำถามพ่อแม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อเพราะความสงสัยยังไม่ได้รับการคลี่คลาย
“คุณแม่ครับ ทำไมอยู่ๆ ดูทีวีแล้วจู๋มันยาวขึ้นมา”
นอกจากจะต้องซักไซ้กันว่าดูอะไร ก็ต้องพยายามอธิบายกันสุดฤทธิ์โชคดีหน่อย ที่คนข้างตัวทำหน้าที่พ่ออธิบายได้หมดจดชนิดตอบมากกว่าความสงสัยของลูกอีก ต่างหากสงสัยลูกอาจจะเลิกถามเรื่องนี้ไปอีกเลยทีเดียวเชียว
“คุณแม่ครับ คนเรามีลูกอัณฑะสองอันใช่ไหมครับ ตอนแรกจับๆ ดูเหมือนมีอันเดียว แต่พอจับไปจับมา มันมีสองอันนี่น่า”
“คุณแม่ครับ ต้นกล้าเข้าไปอยู่ในท้องคุณแม่ได้อย่างไร”
“คุณแม่ครับ…..” ฯลฯ
คำถามเหล่านี้เป็นธรรมดาของคนเป็นลูกที่คนเป็นพ่อแม่ทุกคนต้องเคยโดนลูกถาม คำถามทำนองนี้กันมาแล้วทั้งนั้นทีนี้ก็อยู่ที่ว่าคนเป็นพ่อแม่จะปล่อยให้ลูก ถามไปโดยไม่ตอบหรือพยายามเลี่ยงคำตอบ หรืออธิบายไปเลยก็สุดแท้แต่ละครอบครัวว่ามีทัศนคติต่อเรื่องเพศอย่างไรและ ให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้มากน้อยแค่ไหนที่จะบอกเล่าให้ลูกน้อยเข้าใจ
สำหรับครอบครัวของเราซึ่งมีแต่ลูกชาย และถึงช่วงวัยที่เขาสนใจเรื่องเพศโดยเฉพาะสนใจเรื่องตัวเอง ทำให้ดิฉันได้เห็นพฤติกรรมประเภทจับจุ๊ดจู๋ตัวเองบ้าง จับของพี่หรือของน้องบ้าง เดี๋ยวสงสัยเดี๋ยวตั้งคำถามสารพัด ทำให้ดิฉันต้องพูดกับคนข้างตัวบ่อยๆเพื่อให้พ่อทำหน้าที่สลับกันพูดคุยบ้าง
บางเรื่องก็ให้ผู้ชายคุย กัน ขณะที่บางเรื่องแม่จัดการเองโดยพยายามทำให้เรื่องเพศเป็นเรื่องปกติ บางครั้งเขาก็ถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆเราก็ต้องตอบ หรือบางครั้งเขาจินตนาการพันลึกเราก็ต้องพยายามอธิบายให้ลูกเข้าใจตามสภาพ ความเป็นจริง
ที่สำคัญและได้ผลก็คือ เมื่อเขาคลายสงสัย เขาได้รับคำตอบเขาก็จะเลิกสนใจไปเอง มีงานวิจัย ชิ้นหนึ่งโดยสตีเว่น มาร์ติโน่นักพฤติกรรมศาสตร์แห่ง RAND Corporation บอกว่าการพูดคุยเรื่องเพศหรือเรื่องเซ็กส์กับลูกนั้น ควรจะต้องมีการพูดคุยอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่ใช่ว่าพูดกันจริงจังครั้ง เดียวแล้วเลิกไปเลยเพราะการได้พูดคุยเรื่องเซ็กส์กับลูก ให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องกับลูกนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมเกี่ยว กับเซ็กส์ที่ผิดๆ ของลูกได้
กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้เป็นเด็กวัยรุ่นจำนวน 312 ราย พร้อมด้วยพ่อและแม่ซึ่งต้องตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นและพฤติกรรมทาง เพศรวม 22 รายการ
ผลวิจัยพบว่าหากเด็กและพ่อแม่มีการพูดคุยสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ และพูดย้ำๆบ่อยๆ นั้นเด็กก็จะเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับพ่อแม่และอยากที่จะคุยอย่างเปิดเผยใน เรื่องเซ็กส์และเรื่องอื่นๆ ด้วย ที่น่าสนใจคือในครอบครัวที่มีการพูดคุยเรื่องเซ็กส์อย่างเปิดเผยเด็กมีแนว โน้มที่จะมีประสบการณ์ทางเพศช้าลง
มาร์ติโน่ย้ำว่า พ่อแม่ควรจะเริ่มต้นปูทางการพูดคุยเรื่องเซ็กส์กับลูกแต่เนิ่นๆตั้งแต่ยัง เล็กเพื่อให้เด็กรู้สึกไว้วางใจ เด็กๆจะเติบโตขึ้นและเริ่มมีประสบการณ์ด้านนี้พ่อแม่ย่อมต้องการให้ลูก รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะคุยเรื่องเซ็กส์กับพ่อแม่ เพราะหากลองถามเด็กๆ ว่าอยากได้ข้อมูลเรื่องนี้จากไหนส่วนใหญ่จะตอบว่าจากพ่อแม่มากกว่าคนอื่น
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาจจะลองใช้หนังสือ เป็นสื่อกลางก่อนรวมทั้งการดูทีวีหรือภาพยนตร์กับลูกซึ่งจะช่วยให้สามารถสอด แทรกคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ดูยัดเยียดจนเกินไป
หรือไม่ก็ลองดูเทคนิคสอนลูกเรื่องเซ็กส์ 3 วิธีนี้
หนึ่ง– พ่อแม่ต้องสร้างทัศนคติเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องธรรมดาถ้าพ่อแม่มีทัศนคติใน เรื่องเพศที่ไม่ดี มองว่าเป็นเรื่องสัปดน ลามกเป็นเรื่องในที่ลับ น่าอายล่ะก็ยิ่งเท่ากับจะนำเอาทัศนคติเหล่านั้นเข้าไปใส่ในตัวลูกเองด้วย เรื่องทัศนคติของคนเป็นพ่อแม่สำคัญที่สุดที่ต้องพูดคุยกันอย่างเปิดอกกันเอง ก่อนแล้วค่อยตกลงกันว่าจะพูดคุยกับลูกอย่างไร แต่ต้องไปในทิศทางเดียวกันเพื่อไม่ให้ลูกสับสน
สอง –ต้องพูดคุยกับลูกให้คลายสงสัย โดยดูวัยเป็นสำคัญอย่ามองว่าเรื่องนี้เป็นความลับ หรือเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดถึงเพราะจะยิ่งสร้างความสนใจ และความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มเข้าไปอีกแล้วพอลูกสงสัยแต่ไม่ได้รับคำตอบจาก พ่อแม่ เขาก็จะไปแสวงหาคำตอบนอกบ้านถึงวันนั้นเราจะต้องมานั่งเสียใจภาพหลัง
วิธีพูดคุยกับลูกก็ขอให้เป็นไปตามธรรมชาติ อาจจะเริ่มจากหนังสือนิทาน ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีนิทานดีๆที่ใช้ในการสื่อถึงพัฒนาการของลูกน้อย หรือปรับพฤติกรรมลูกน้อยก็มีมากมาย
สาม– สอนให้ลูกรู้จักอวัยวะของตัวเอง ซึ่งก็สามารถใช้สื่อนิทานได้เช่นกันเริ่มง่ายๆ จากให้เรียนรู้เรื่องอวัยวะของคนเราแล้วค่อยใส่เรื่องการดูแลรักษาความ สะอาด ในอวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายหรืออาจจะใช้ช่วงเวลาอาบน้ำให้ลูกให้สอนเรียก ชื่อของอวัยวะเพศเหมือนกับที่เราสอนลูกว่า นี่เรียกว่า ตา หูปาก จมูก จุ๊ดจู๋ หรือจิ๋มและควรจะสอนให้ลูกดูแลทำความสะอาดอวัยวะเพศเหมือนกับทำความสะอาด ส่วนอื่นๆของร่างกาย ทำให้ลูกรู้ว่าอวัยวะเพศนั้นมีคุณค่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอวัยวะส่วน อื่นๆ ของร่างกาย
รวมถึงให้ลูกเข้าใจด้วยว่าสรีระร่างกายของลูกจะเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงช่วง เปลี่ยนผ่านในแต่ละวัย ซึ่งต้องสื่อสารให้เขารู้ว่าพ่อแม่ใส่ใจและเข้าใจทั้งจิตใจและร่างกายของลูก อย่างสม่ำเสมอ
อย่าลืมว่าขณะลูกเล็ก การพูดคุยและปลูกฝังในเรื่องต่างๆเป็นไปได้ง่ายกว่าเมื่อลูกโต โดยเฉพาะเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่นวัยที่มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง เขาจะมีแนวโน้มติดเพื่อนเด็กที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ เมื่อเติบโตขึ้นแล้วเกิดคำถามหรือสงสัยเรื่องใด เขาจะหันไปปรึกษาหารือเพื่อนเป็นลำดับแรก
ที่สำคัญยามที่เขาไม่ได้ถามพ่อแม่ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจเรื่องเพศตรงกันข้าม เขาจะสนใจเป็นอย่างมาก แต่เขาจะไปพยายามเรียนรู้ด้วยวิธีอื่นๆเช่น จากเพื่อน จากหนังสือลามก จากภาพยนตร์ แล้วอาจเข้าใจผิดได้
ในกรณีนี้พ่อแม่ต้องสังเกตและอาจจะกระตุ้นให้ถามคำถามเรื่องพวกนี้ในการพูดคุยกันในชีวิตประจำวัน เช่น เวลารับประทานอาหารร่วมกันเพื่อให้เด็กรู้ว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดแต่เป็นเรื่องที่ต้องรู้ เป็นเรื่องธรรมชาติ
อ้อ..ที่ว่ามาทั้งหมด อย่าลืมเป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องเพศให้กับลูกด้วยละกันค่ะ